หน้าเว็บ

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ประดู่ ไม้มงคล


ประดู่


ไม้มงคล

 ต้นประดู่นั้น ให้คุณประโยชน์ได้มากมายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นดอกที่สวยสดงดงาม หรือเนื้อไม้ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ ได้อย่างมากมายมหาศาล หากคุณเคยสังเกต ก็คงจะเคยได้ยินมาบ้างว่า ต้นประดู่นั้น ได้ถูกนำมาใช้เป็นไม้ที่สำคัญ ในการประกอบตัวเรือของกองทัพเรือ ในสมัยก่อนเลยทีเดียว ประดู่นั้น หมายถึง ความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะก่อให้เกิดพลังอันยิ่งใหญ่ของความร่วมมือร่วมใจกันสืบไป

ดังนั้น คนโบราณจึงนิยมปลูกต้นประดู่ เพื่อกระตุ้นให้สมาชิกทุกคนในบ้าน มีความรักใคร่สามัคคี โดยที่ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน บ้านทั้งหลัง จึงมีแต่ความสงบสุข ทุกคนจะร่วมมือร่วมแรงใจกันเสมอ ราวกับดอกของต้นประดู่ ที่มักจะระดมกำลังกันผลิบาน จนกลายเป็นสีเหลืองไปทั่วทั้งต้น
นอกจากนั้น ประดู่ยังมีประโยชน์ในการสรรค์สร้างเสียงดนตรีได้อีกด้วย เพราะแก่นของต้นประดู่นั้น แข็งแกร่งมาก คนโบราณจึงนำมาประดิษฐ์เป็นระนาด ที่ให้ความบันเทิงแก่ชาวไทยทุกคน มาเป็นเวลาช้านานแล้ว

เคล็ดปฏิบัติ ประดู่ ไม้มงคล
ทิศทางที่เหมาะสมกับการปลูก คือ ทิศตะวันตกของตัวบ้าน และควรจะลงมือปลูกในวันเสาร์ เพราะเชื่อกันว่า ต้นไม้ที่ให้สิริมงคลนั้น ถ้าปลูกในวันเสาร์ก็จะยิ่งเกิดผลดีเพิ่มมากขึ้น ผู้ที่จะลงมือปลูกต้นประดู่นั้น ก็ควรจะเป็นผู้ที่มีคุณวุฒิ และวัยวุฒิมากสักหน่อย หากเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ หรือผู้ที่ประกอบแต่คุณงามความดี ก็จะยิ่งเพิ่มความเป็นมงคลของต้นประดู่ให้มากยิ่งขึ้น

อ้างอิง : http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00676

ข้าวอินทรีย์ เพื่อสุขภาพ



ข้าวอินทรีย์
ข้าวหอมฟาร์มเกษตร
ข้าวเพื่อสุขภาพสำหรับคุณ.. และคนที่คุณรัก


เป็นของขวัญมีคุณค่า เป็นของฝากแสดงความห่วงใย ทานเองทุกวัน รักษาสุขภาพให้ดีสม่ำเสมอ ไม่ใช่ข้าวที่คุณต้องทาน.. แต่เราขอเป็น ข้าวอินทรีย์ ที่คุณเลือกทาน ของขวัญ ของฝาก อันมีคุณค่า เนื่องใน วันปีใหม่ วันสงกรานต์ วันตรุษจีน วันเกิด วันขึ้นบ้านใหม่ เนื่องในโอกาสสำคัญต่างๆ

 คุณทราบหรือไม่? ข้าวอินทรีย์หอมมะลิชั้น 1 (ดีพิเศษ) ที่ขายตามท้องตลาดทั่วไป เป็นข้าวอินทรีย์หอมมะลิที่มีข้าวชนิดอื่นปนอยู่ด้วย่ไม่เกิน 5% แต่ ข้าวหอมฟาร์มเกษตร คือข้าวอินทรีย์หอมมะลิ 100% ที่เก็บไว้เป็นข้าวเปลือก และทยอยสีตามคำสั่งซื้อของลูกค้า ไม่ได้สีเก็บไว้เป็นจำนวนมาก จึงคงคุณค่าของความเป็นข้าวหอมมะลิแท้ 100% ไว้ได้อย่างยาวนาน

 ข้าวอินทรีย์หอมมะลิ "Thai Jasmine Rice" หรือ "Thai Home Mali" เป็นสายพันธุ์ข้าวที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย มีกลิ่นหอมคล้ายใบเตย ปัจจุบันปลูกได้ดีที่สุดในเขตภาคอิสาน หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในเขตที่ทำได้แต่เพียงข้าวนาปี จะเป็นข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพสูง มีกลิ่นหอม ปลอดจากโรคและแมลง

 พันธุ์ข้าวอินทรีย์หอมมะลิ ที่นิยมปลูกและบริโภคกันแพร่หลาย และได้รับการยอมรับได้แก่ ข้าวดอกมะลิ 105 และ ข้าวหอมมะลิ กข.15 ข้าวหอมมะลิ มีคุณภาพสูง แต่มีผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ต่ำ ข้าวหอมมะลิ 105 ให้ผลผลิตเฉลี่ยเพียง 30 ถึง 40 ถังต่อไร่ ในขณะที่ ข้าวปทุมธานี1 ให้ผลผลิตเฉลี่ย 80-100 ถังต่อไร่ ต้นทุนของการผลิตข้าวหอมมะลิ เมื่อเทียบกับผลผลิตจะมีต้นทุนสูงกว่าการปลูกข้าวชนิดอื่น แต่ผลที่ได้คือข้าวหอมมะลิ ที่ได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลาย

 อ้างอิง : http://www.farmkaset.org/rice_pack_farmkaset.aspx

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สักทอง ไม้มงคล


สักทอง

ไม้มงคล

    ขณะนี้ต้นสักทองกำลังเป็นที่นิยมมาก เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยทีเดียว ที่หันมาปลูกสร้างบ้านเรือนด้วยไม้สักทอง เพราะนอกจากจะแข็งแรงทนทานแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับบ้าน และผู้อยู่อาศัยอีกด้วย สักทองนั้น เป็นต้นไม้ที่ชื่อมีความหมายดีมาก เพราะสักหรือสักกะนั้น หมายถึงพระอินทร์ ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดในสรวงสวรรค์ นอกจากนั้นคำว่า “สัก” ยังพ้องเสียงกับ “ศักดิ์” ซึ่งหมายถึงยศถาบรรดาศักดิ์ เกียรติศักดิ์ หรือศักดิ์ศรี ซึ่งต่างก็เป็นความหมายในแง่ดีด้วยกันทั้งนั้น คนโบราณเชื่อกันว่า หากครอบครัวใดปลูกต้นสักทองเอาไว้ภายในบริเวณบ้าน ก็จะช่วยเพิ่มความมีสง่าราศี ส่งผลให้ได้เลื่อนตำแหน่ง เป็นที่เคารพยกย่องจากบุคคลทั่วไป และยังเพิ่มบุญบารมีให้กับสมาชิกทุกคนภายในบ้านอีกด้วย

เคล็ดปฏิบัติการปลูกไม้มงคล (สักทอง)

    ทิศเหนือ เป็นทิศที่เหมาะที่สุดในการปลูกต้นสักทอง และควรจะลงมือปลูกในวันเสาร์ เพราะาคนโบราณเชื่อว่า ต้นไม้ที่จะช่วยเสริม ความเป็นสิริมงคลให้กับบ้าน ควรจะปลูกในวันเสาร์ก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก มอบหน้าที่ปลูกต้นสักทองให้ ผู้ที่อาวุโสที่สุดในบ้าน หากบ้านมีเพียงหนุ่มสาว ก็ควรเชิญผู้ใหญ่หรือญาติสนิท ที่เราเคารพนับถือ หรือผู้ที่ทำแต่ความดี จนได้รับการสรรเสริญยกย่อง มาเป็นผู้ลงมือปลูก ก็จะช่วยเพิ่มมงคลให้กับต้นไม้ได้เป็นอย่างดี

อ้างอิง : http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00670

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ดอกลีลาวดี


ดอกลีลาวดี

ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Plumeria spp.
ตระกูล :  Apocynaceae
ชื่อสามัญ :  Frangipani,Pagoda,Temple
ถิ่นกำเนิด เม็กซิโกใต้ถึงตอนเหนือทวีปอเมริกาใต้

ลักษณะทั่วไปของดอกลีลาวดี

ดอกลีลาวดี เป็นไม้ยืนต้นไม้ดอก มีขนาดจากที่เป็นพุ่มเตี้ยแคระสูงประมาณ0.6 เมตร จนถึงต้นใหญ่มากอาจที่สูงได้ถึง 12 เมตร ลำต้นแผ่กิ่ง ก้านสาขาและพุ่มใบสวยงาม มีน้ำยางขนสีขาวเป็นพันธุ์ไม้ดอกที่สลัดใบ ในฤดูแล้งก่อนที่จะผลิดอกผลิใบรุ่นใหม่ชนิดและพันธุ์ที่มีลักษ ณะดี ต้องมีทรงพุ่มแน่น มีกิ่งก้านสาขามาก ใบดกที่ปลายกิ่ง มีช่อดอกใหญ่ กิ่งที่ยังไม่แก่มีสีเขียวออ่นนุ่ม กิ่งที่แก่มีสีเทามีรอยตะ ปุ่มตะป่ำ ใบ เป็นใบเดี่ยวมีการเรียงตัวสลับกันและหนาแน่นใกล้ๆปลายกิ่ง มีตั้งแต่สีเขียวอ่อนถึงเขียวเข้ม มีเส้นกลางใบแตกสาขา ออกไปคล้ายขนนก ขนาดใบแตกต่างกันตั้งแต่ 5-20 นิ้ว ช่อดอก จะถูกผลิตออกมาจากปลายยอดเหนือใบแต่กก็มีบางชนิดที่ออกช่อ ดอกระหว่างใบหรือออกดอกใต้ใบ ช่อดอกบางชนิดตั้งขึ้น บางชนิดห้อยลง ใน 1 ช่อดอกจะมีดอกบานพร้อมกัน 20-30 ดอก บาง ต้นสมบูรณ์เต็มที่อาจมีดอกมากกว่า 100 ดอก ต่อ 1 ช่อ ดอกโดยทั่วไป กลีบดอกมี 5 กลีบ เกสรตัวผู้ เกสรตัวเมีย อยู่ลึกเข้าไปข้าง ใน ดอกของ ลีลาวดีมีสีสรรหลากหลาย ทั้ง ขาว แดง เหลือง ชมพู ส้ม ม่วง สีทอง มีกลิ่นหอมต่างๆกันไปในแต่ละชนิด ดอกมี ขนาด 2 - 6 นิ้ว มีกลิ่นหอม ผล เป็นฝักคู่ รูปยาวรี กว้างประมาณ 1.5 - 15 ซม. เมื่อแก่แตกเป็น 2ซีก เมล็ดมีจำนวนมาก เมล็ด แบนมีปีก ลีลาวดีมีช่วงชีวิตที่ยาวนานนับ 100 ปี
ฤดูกาลออกดอกลีลาวดี

ออกดอกระหว่างเดือนกุมภาพันธุ์-เมษายน บางพันธุ์ออกดอกตลอดปี เช่น ขาวพวง

สภาพการปลูก ดอกลีลาวดี

ลีลาวดี เป็นไม้กลางแจ้ง ชอบแสงแดด ทนต่อความแห้งแล้ง ไม่ชอบน้ำมาก ดินที่เหมาะสมในการปลูกลีลาวดี ควรมีลักษณะเป็น ดินร่วนปนทราย ส่วนดินเหนียวหรือดินที่มีเนื้อดินละเอียดหนักซึ่งน้ำขังง่าย จะทำให้รากเน่า โคนเน่าได้ ลีลาวดีจะเจริญเติบโต ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงหากไม่ได้รับแสงแดดเต็มที ก็จะไม่ออกดอก แต่บางพันธุ์ก็ไม่ต้องการแสงแดดจัดในช่วงบ่าย

การขยายพันธุ์ ดอกลีลาวดี

ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด,การปักชำกิ่งการขยายพันธุ์แบบนี้จะไม่มีราก แก้ว,การเสียบยอดพันธุ์ดีสามารถทำให้ในหนึ่งต้น เสียบยอดให้ได้ดอกหลายสีได้ ,และการขยายพันธุ์โดยการติดตา

การปลูกและดูแลรักษา ดอกลีลาวดี

การปลูกดอกลีลาวดีในกระถาง
ไม้ดอกลีลาวดีจะตอบสนองต่อวัสดุปลูกที่มีความอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี มีอินทรีวัตถุและได้รับปุ๋ยเสริมตามความเหมาะสม สัดส่วนที่ปลูกนกระถางโดยทั่วไป 50% มูลวัวที่ย่อยสลายดีแล้ว 25% ใบไม้ผุ 25% ดิน การให้น้ำ ใส่น้ำให้ดินในกระถางให้ เปียกทั่วถึง จนน้ำส่วนเกินระบายออกทางรูระบายน้ำ แล้วปล่อยให้วัสดุปลูกแห้งก่อนให้น้ำครั้งต่อไปซึ่งอาจจะเป็นอาทิตย์ละ 2ครั้ง หรือถ้าช่วงแล้งจัดๆ อาจเป็นวันเว้นวัน อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบความชื้นวัสดุปลูกอย่างสม่ำเสมอ แต่วัสดุปลูกที่มี ขนาดเล็กละเอียด เมื่อถึงระยะหนึ่งจะอัดตัวแน่นและรากจะไม่สามารถเจริญผ่านจุดนี้ไปได้น้ำก็ จะขังไม่สามารถระบายน้ำได้ ในที่สุดจะทำให้เกิดโรครากเน่าโคนเน่าได้

การปลูกดอกลีลาวดี ลงดินในแปลงปลูก

ดินควรเป็นดินร่วนปนทราย ส่วนดินเหนียวหรือดินที่มีเนื้อดินละเอียดหนักซึ่งน้ำขังง่ายไม่เหมาะที่จะ ใช้ในการปลูก ดินควรมี มาณอินทรียวัตถุที่เหมาะสม สามารถดูดยึดความชื้นได้ดี ในขณะเดียวกันต้องมีการระบายน้ำได้ดี การให้น้ำ ในการปลูกลงดิน ให้น้ำแต่นอ้ยให้ปริมาณสัปดาห์ละครั้ง ขึ้นอยูรกับสภาพความชื้นอากาศด้วย ถ้าอากาศร้อนแห้งแล้ง ก็ต้องให้น้ำบ่อยกว่าปกติ เพื่อรักษาความเขียวของใบ แต่ให้น้ำมากเกินไปก็จะมีการเจริญเติบโตทางกิ่งก้านมากและทำให้ไม่ออกดอก
การให้ปุ่ย ดอกลีวาวดี

ลีลาววดีจะเจริญเติบโตงอกงามได้ดีที่สุดในปุ๋ยทีมีไนโตรเจนต่ำ ฟอสฟอรัสสูง และโพแทสเซียม ในปริมาณที่เพียงพอ เนื่อง จากธาตุฟอสฟอรัสจะกระตุ้นการออกดอก โดยทั่วไปลีลาวดีจะแตกกิ่งกาน เมื่อมีดอก ดังนั้นต้องให้ปุ๋ยที่ส่งเสริมการออกดอก ซึ้งเมื่อออกดอกมากก็หมายถึงจะมีกิ่งก้านสาขามากตามมา ส่วนธาตุไนโตรเจนจะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของลำต้น กิ่ง ก้าน ใบ แต่ถ้าได้รับมากเกินไป จะทำให้มีใบมากเกินไป และไม่มีดอก นอกจากนั้นยังต้องได้รับธาตุอาหารรองได้แก่ แคลเซี่ยม และกำมะถัน โดยเฉพาะธาตุแมกนีเซียม เพื่อป้องกันโรคใบไหม้รวมทั้งธาตุอาหารจุลธาตุที่เพียงพอ ได้แก่ ธาตุเหล็ก อลูมิเนียม ทองแดง แมงกานีส โมลิบดินัม โบรอน และคลอไรด์ โดยเฉพาะธาตุเหล็ก ซึ่งช่วยป้องกันอาการใบซีด










อ้างอิง : http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00659

em : คืออะไร

 


EM คืออะไร

EM คืออะไร   EM ย่อมาจาก Effective Microorganisms หมายถึง กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่ง ศ.ดร.เทรูโอะ ฮิงะ นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญสาขาพืชสวน มหาวิทยาลัยริวกิว เมืองโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ได้ศึกษาแนวคิดเรื่อง " ดินมีชีวิต" ของท่านโมกิจิ โอกะดะ (พ.ศ.2425-2498) บิดาเกษตรธรรมชาติของโลกจากนั้น ดร.ฮิงะ เริ่มค้นคว้าทดลองตั้งแต่ปี พ.ศ 2510 และค้นพบ EM เมื่อ พ.ศ. 2526 ท่านอุทิศทุ่มเททำการวิจัยผลว่ากลุ่มจุลินทรีย์นี้ใช้ได้ผลจริง หลังจากนั้นศาสนาจารย์วาคุกามิ ได้นำมาเผยแพร่ในประเทศไทย โดยท่านเป็นประธานมูลนิธิบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ด้วยกิจกรรมทางศาสนา หรือ คิวเซ (คิวเซ แปลว่า ช่วยเหลือโลก) ปัจจุบัน ตั้งอยู่ที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี จากการค้นคว้าพบความจริงเกี่ยวกับจุลินทรีย์ว่ามี 3 กลุ่ม คือ1. กลุ่มสร้างสรรค์ เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีคุณภาพ มีประมาณ 10 % 2. กลุ่มทำลาย เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่เป็นโทษ ทำให้เกิดโรค มีประมาณ 10 %3. กลุ่มเป็นกลาง มีประมาณ 80 % จุลินทรีย์กลุ่มนี้หากกลุ่มใด มีจำนวนมากกว่ากลุ่มนี้จะสนับสนุนหรือร่วมด้วย ดังนั้น การเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีคุณภาพลงในดิน ก็เพื่อให้กลุ่มสร้างสรรค์มีจำนวนมากกว่า ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้จะช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินให้กลับมีพลังขึ้นมา อีกหลังจากที่ถูกทำลายด้วยสารเคมีจนดินตายไป ดังนั้น การเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีคุณภาพลงในดิน ก็เพื่อให้กลุ่มสร้างสรรค์มีจำนวนมากกว่า ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้จะช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินให้กลับมีพลังขึ้นมา อีกหลังจากที่ถูกทำลายด้วยสารเคมีจนดินตายไป
จุลินทรีย์มี 2 ประเภท

1. ประเภทต้องการอากาศ (Aerobic Bacteria)
2. ประเภทไม่ต้องการอากาศ (Anaerobic Bacteria

จุลินทรีย์ทั้ง 2 กลุ่มนี้ ต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และสามารถอยู่ร่วมกันได้จากการค้นคว้าดังกล่าว ได้มีการนำเอาจุลินทรีย์ที่ได้รับการคัดและเลือกสรรอย่างดีจากธรรมชาติ ที่มีประโยชน์ต่อพืช สัตว์ และสิ่งแวดล้อม มารวมกัน 5 กลุ่ม (Families) 10 จีนัส (Genues) 80 ชนิด (Spicies) ได้แก่

กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์พวกเชื้อราที่มีเส้นใย (Filamentous fungi) ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งการย่อยสลาย สามารถทำงานได้ดีในสภาพที่มีออกซิเจน มีคุณสมบัติต้านทานความร้อนได้ดี ปกติใช้เป็นหัวเชื้อผลิตเหล้า ผลิตปุ๋ยหมัก ฯลฯ

กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์พวกสังเคราะห์แสง (Photosynthetic microorganisms) ทำหน้าที่สังเคราะห์สารอินทรีย์ให้แก่ดิน เช่น ไนโตรเจน (N2) กรดอะมิโน (Amino acids) น้ำตาล (Sugar) วิตามิน (Vitamins) ออร์โมน (Hormones) และอื่นๆ เพื่อสร้างความสมบูรณ์ให้แก่ดิน

กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่ใช้ในการหมัก (Zynogumic or Fermented microorganisms) ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นให้ดินต้านทานโรค (Diseases resistant) ฯลฯ เข้าสู่วงจรการย่อยสลายได้ดี ช่วยลดการ พังทลายของดิน ป้องกันโรคและแมลงศัตรูพืชบางชนิด ของพืชและสัตว์ สามารถบำบัดมลพิษในน้ำเสียที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษต่างๆ ได้

กลุ่มที่ 4 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์พวกตรึงไนโตรเจน (Nitrogen fixing microorganisms) มีทั้งพวกที่เป็นสาหร่าย (Algae) และพวกแบคทีเรีย (Bacteria) ทำหน้าที่ตรึงก๊าซไนโตรเจนจากอากาศเพื่อให้ดินผลิตสารที่เป็นประโยชน์ต่อการ เจริญเติบโต เช่น โปรตีน (Protein) กรดอินทรีย์ (Organic acids) กรดไขมัน (Fatty acids) แป้ง (Starch or Carbohydrates) ฮอร์โมน(Hormones) วิตามิน (Vitamins) ฯลฯ

กลุ่มที่ 5 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์พวกสร้างกรดแลคติก (Lactic acids) มีประสิทธิภาพในการต่อต้านเชื้อรา และแบคทีเรียที่เป็นโทษ ส่วนใหญ่เป็นจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการอากาศหายใจ ทำหน้าที่เปลี่ยนสภาพดินเน่าเปื่อย หรือดินก่อโรคให้เป็นดินที่ต้านทานโรค ช่วยลดจำนวนจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคพืชที่มีจำนวนนับแสน หรือให้หมดไป นอกจากนี้ยังช่วยย่อยสลายเปลือกเมล็ดพันธุ์พืช ช่วยให้เมล็ดงอกได้ดีและแข็งแรงกว่าปกติอีกด้วย
ลักษณะทั่วไปของ EM

EM เป็นจุลินทรีย์ กลุ่มสร้างสรรค์ เป็นกลุ่มที่มีประโยชน์ หรือ เรียกว่ากลุ่มธรรมะ ดังนั้น เวลาจะใช้ EM ต้องคำนึงถึงอยู่เสมอว่า EM เป็น สิ่งมีชีวิต EM มีลักษณะดังนี้ ต้องการที่อยู่ ที่เหมาะสม ไม่ร้อนเกินไป หรือเย็นเกินไป อยู่ในอุณหภูมิปกติ ต้องการอาหารจากธรรมชาติ เช่น น้ำตาล รำข้าว โปรตีน และสารประกอบอื่นๆ ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต เป็นจุลินทรีย์จากธรรมชาติ ไม่สามารถใช้ร่วมกับสารเคมีและ ยาฆ่าเชื้อต่างๆ ได้ เป็นตัวเอื้อประโยชน์แก่พืช สัตว์ และสิ่งมีชีวิตทั้งมวล EM จะทำงานในที่มืดได้ดี ดังนั้นควรใช้ช่วงเย็นของวัน เป็นตัวทำลายความสกปรกทั้งหลาย

การดูแลเก็บรักษา

หัวเชื้อ EM สามารถเก็บได้นานประมาณ 1 ปี โดยปิดฝา ให้สนิท
อย่าทิ้ง EM ไว้กลางแดด และ อย่าเก็บไว้ในตู้เย็น เก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิปกติ
ทุกครั้งที่แบ่งไปใช้ต้องรีบปิดฝาให้สนิท เพื่อไม่ให้เชื้อโรค หรือจุลินทรีย์ในอากาศที่เป็นโทษ เข้าไปปะปน
การนำ EM ไปขยายต่อ ควรใช้ภาชนะที่สะอาด และใช้ให้หมดในระยะเวลาที่เหมาะสม

ข้อสังเกตพิเศษ

หาก EM เปลี่ยนเป็นสีดำ มีกลิ่นเหม็นเน่า ถือว่า EM ตาย ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อีก ให้นำ EM ที่เสียผสมน้ำรดกำจัดหญ้าและวัชชพืชที่ไม่ต้องการได้
กรณีเก็บไว้นานๆ จะมีฝ้าขาวเหนือผิวน้ำ แสดงว่า EM พักตัว เมื่อเขย่าภาชนะ ฝ้าสีขาวจะสลายตัว กลับไปอยู่ในน้ำเหมือนเดิมนำไปใช้ได้
เมื่อนำไปขยายเชื้อในน้ำและกากน้ำตาล จะมีกลิ่นหอมและ เป็นฟองขาวๆ ภายใน 2-3 วัน ถ้าไม่มีฟอง น้ำนิ่งสนิทแสดงว่าการหมักขยายเชื้อยังไม่ได้ผล





อ้างอิง : http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00636

ไม้มงคล ว่านมหาโชค



ชื่อพรรณไม้ : ว่านมหาโชค


บริเวณที่พบ : เรือนเพาะชำ

ลักษณะพิเศษของพืช : ไม้ในร่ม

ลักษณะทั่วไป : ไม้พุ่มขนาดเล็ก

ต้น : ไม้พุ่มขนาดเล็ก มีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน ภายในหัวจะเป็นกลีบเรียงตัวซ้อนกันอยู่คล้ายหัวหอมใหญ่

ชูส่วนของใบขึ้นมากเหนือผิวดินลักษณะเป็นกอพุ่มใบแผ่ปกคลุมดิน

ใบ : ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับรอบต้น ใบรูปใบหอก กว้าง 8-11 เซนติเมตร ยาว 20-24 เซนติเมตร ปลายใบมน โคนใบสอบ

ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาค่อนข้างอวบน้ำ ผิวใบด้านบนสีเขียวอมเหลืองเป็นมัน

ดอก : สีส้ม ออกเป็นช่อแบบช่อซี่ร่มจากกอ ก้านช่อดอกกลมชูตั้งขึ้นยาว 30-40 เซนติเมตร ดอกย่อยรูปกรวยแคบ

โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน ปลายเเยกเป็น 5 แฉก เกสรเพศผู้สีเหลืองยื่นยาวและโค้งขึ้น ดอกบานเต็มที่กว้าง 3-4 เซนติเมตร

ผล : ผลแห้งแตก สีน้ำตาล เมล็ดจำนวนมาก แบน สีน้ำตาลดำ

การปลูก : ควรปลูกในดินปนทราย รดน้ำแต่ปานกลางพอให้ดินชุ่ม และให้ได้รับแสงแดดรำไร

การขยายพันธุ์ : ขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อไปปลูก

ความเป็นมงคล เชื่อกันว่าหากเลี้ยงว่านให้เจริญงอกงามดี ผู้เลี้ยงจะมีโชคลาภในทุกๆ ทาง ไม่ว่าจะเป็นวรรณะ
พละกำลัง อนามัยที่สมบูรณ์ และความสุข

อ้างอิง : http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00667
ข้าวโพด|ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์|ข้าวโพดหวาน|การปลูกข้าวโพด|Dating|หาแฟน|ปุ๋ย

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

โสม


โสม

โสมเป็นรากของพืชทำให้แห้งอยู่ในตระกูล Araliaceae แบ่งคร่าวๆว่าเป็นโสมที่มีแหล่งกำเนิดจากเอเซียเรียก Asian ginseng ( Panax ginseng C.A., Meyer) ได้โสมจากประเทศ จีน เกาหลี โสมจากประเทศอเมริกา American ginseng ( Panax quinquefolius L. ) ให้ผลการรักษาน้อยกว่าจากเอเซีย อีกชนิดหนึ่งคือ Siberian ginseng ส่วนประกอบจะไม่เหมือนสองชนิดแรก ให้ผลการรักษาอ่อนสุด

โสมเป็นสมุนไพรซึ่งนิยมใช้ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน โดยประเทศทางตะวันออก เชื่อว่าเป็นยาครอบจักรวาลช่วยเพิ่มพลัง โสมนี้ยังมีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น โสมจัน โสมญี่ปุ่น โสมเกาหลี โสมอเมริกา ผักกะโสม โสมไทย โสมดอกแดง และโสมที่นิยมใช้กันมาพันปี คือ โสมเกาหลี หรือโสมอเมริกา ซึ่งเชื่อว่ามีสรรพคุณทางยาอย่างแท้จริง

การเก็บโสม

การเก็บโสม ส่วนที่เก็บคือราก การเก็บรากโสมต้องทำให้แห้งโดยเร็ว เพื่อป้องกันมิให้ enzyme ในรากออกมาทำลาย saponin ในประเทศเกาหลีจะมีการคัดโสมคุณภาพดีจำนวนหนึ่งอบไอน้ำเพื่อฆ่า enzyme ให้หมดก่อนอบแห้ง เรียกโสมที่ผ่านกรรมวิธีนี้ว่า โสมแดง จัดเป็นโสมที่มีคุณภาพสูงสุด ราคาสูง ส่วนโสมที่นำไปตากแดด หรือทำให้แห้งโดยวิธีอื่น เรียกว่า โสมขาว คุณภาพและราคาต่ำกว่าชนิดแรก ปัจจุบันโสมเป็นสมุนไพรที่รู้จักกันดีทั่วโลก ในลักษณะอาหารเสริมสุขภาพ แต่เนื่องจากราคาค่อนข้างแพง จึงทำให้ผู้ใช้เกิดความสนใจว่า “ โสมมีคุณภาพมากมาย จริงหรือไม่?”

1.ช่วยเพิ่มพลัง คุณสมบัติต่อต้านความเมื่อยล้าของโสม ทำให้ร่างกายมีการปลดปล่อยพลังงานมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพขณะทำงานหรือออกกำลังกาย โสมช่วยให้ผนังเซลล์ดูดซึมออกซิเจนเพิ่มขึ้น มีผลทำให้ขบวนการเผาผลาญภายในร่างกายเพิ่มมากขึ้น ร่างกายจึงปลดปล่อยพลังงานได้มากขึ้น ร่างกายจึงเหน็ดเหนื่อยช้า มีความทนต่อการทำงานหนักมากยิ่งขึ้น

2.ใช้ป้องกันโรคมะเร็ง

3.เสริมภูมิคุ้มกัน มีการทดลองในสัตว์พบว่าโสมสามารถเพิ่มการตอบสนองของภูมเพิ่มขึ้น 50% มีปฏิกิริยาตอบสนองของเม็ดเลือดขาวต่อสารเคมีสูงขึ้น มีอัตราการทำลายจุลินทรีย์ หรืออนุภาคแปลกปลอมต่างๆของเซลล์เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น จำนวนเม็ดเลือดขาวเพิ่มสูงขึ้น เป็นผลทำให้ร่างกายสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อโรค ที่มีสาเหตุจากเชื้อจุลินทรีย์ เชื้อไวรัส เชื้อรา และสารเคมีต่างๆ ตลอดจนการต่อต้านโรคภูมิแพ้ หรือโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันบกพร่องชนิดต่างๆได้ดี

4.ช่วยคลายเครียด คุณสมบัติต่อต้านความเครียดของโสม ช่วยปรับสภาพร่างกายและจิตใจ ให้ทนต่อความกดดันจากภายนอก โสมจะเป็นตัวป้องกันและต่อต้านความเครียด โดยเร่งขบวนการเผาผลาญอาหารต่างๆ เพื่อปลดปล่อยพลังงานออกมาต่อต้านความเครียด

5.เป็นสมุนไพรที่ชลอความแก่่ อนุมูลอิสระที่สลายตัวจากการเผาพลาญ จะเป็นตัวทำลายเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ ให้เสื่อมสลายลง อันเป็นสาเหตุหนึ่งของความแก่ โสมสามารถทำลายอนุมูลอิสระของออกซิเจน ช่วยให้เนื้อเยื่อเสื่อมช้าลง ประกอบกับคุณสมบัติเป็นตัวปรับสภาพให้ร่างกายและจิตใจ มีความทนทานต่อความกดดัน ซึ่งช่วยลดขบวนการของความแก่ ดังนั้นโสมจึงช่วยให้ชะลอความแก่ลงได้

6.ช่วยลดน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน ในคนไข้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง โสมทำให้ต่อมในตับอ่อนหลั่งอินซูลินออกมาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันการเกิด อาการมึนชา ตามนิ้วมือนิ้วเท้า และการเกิดแผลเน่าเปื่อย นอกจากนี้ ginsenoside Rb และ ginsenoside Rc ยังออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน จึงช่วยลดขนาดการใช้อินซูลินจากภายนอกในการรักษาคนไข้โรคเบาหวานได้

7.รักษาโรคสมรรถภาพทางเพศเสื่อม ผลต่อสมรรถภาพทางเพศ ในสมัยโบราณเชื่อกันว่าโสมเป็นตัวกระตุ้นกำหนัดทางเพศ แต่การวิจัยทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ว่า โสมไม่ได้ทำให้ฮอร์โมนทางเพศเปลี่ยนแปลงเลย การที่โสมช่วยให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น เป็นผลจากคุณสมบัติ ที่ทำให้สุขภาพจิต และสมรรถภาพทางร่างกายดีขึ้น

สารสำคัญในโสม

สารสำคัญ ที่พบในรากเป็นสาร saponin ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม ginsenoside กลุ่ม panaxoside และกลุ่ม chikusetsusaponin แต่ส่วนประกอบที่สำคัญ ของโสมคือ ginsenoside ซึ่งจะมีในโสมประมาณ ร้อยละ 1 -2 โดยน้ำหนัก ขึ้นกับชนิดของโสม แหล่งที่ปลูก รวมทั้งกระบวนการผลิต พบว่าโสมที่ขายในท้องตลาดบางชนิดแทบจะไม่มี ginsenoside เลย ดังนั้นเมื่อหาซื้อโสมมาบำรุงร่างกายจึงควรดูส่วนประกอบของโสม คือ ginsenoside เป็นสำคัญ

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์

ยังไม่มีมาตรฐานความบริสุทธิ์และความเข้มข้นของโสม ทำให้ขาดความน่เชื่อถือ

พอจะมีหลักฐานว่าโสมทำให้มีพลังเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากยังขาดมาตรฐานในการทดลองจึงขาดความน่าเชื่อถือ

ผลข้างเคียงของโสม

ผู้ที่รับประทานโสมมานานและปริมาณมากอาจจะเกิดกลุ่มอาการที่ประกอบไปด้วย ความดันโลหิตสูง นอนไม่หลับ มีผื่นและท้องร่วงที่เรียกว่า ginseng abuse syndrome

โสมแดงอาจจเสริมฤทธิ์กับกาแฟ หรือสารที่กระตุ้น
แม่ที่รับประทานโสมขณะตั้งครรภ์เมื่อคลอดลูกอาจจะมีขนมาก
โสมมีฮอร์โมนซึ่งทำให้เกิดอาการคัดเต้านม

การทดสอบคุณภาพของโสม


ตรวจพบยาฆ่าแมลง hexachlorobenzene ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งหนึ่งตัวอย่างในห้าตัวอย่าง
พบยาฆ่าแมลง quintozene and lindane สองในห้าตัวอย่าง
บางตัวอย่างพบว่ามีปริมาณโสมน้อยกว่าที่ระบุในฉลาก
สรุบพบว่า 10ใน 12 มีคุณภาพตามที่ระบุในฉลาก ไม่พบโลหะหนัก หรือสารเจือปน


อ้างอิง : www.FarmKaset.ORG
ข้าวโพด|ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์|ข้าวโพดหวาน|การปลูกข้าวโพด|Dating|หาแฟน|ปุ๋ย

การปลูกพืชผักในช่วงฤดูหนาว

สวัสดีครับพี่น้องเกษตรกร ทุกท่าน วันนี้ได้เอาความรู้เล็กๆกน้อยๆ เกี่ยวกับการปลูกพืชผักในช่วงฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มกราคม มาฝากนะครับ พืชผักที่ควรเลือกปลูกได้แก่ หอมแบ่ง กุยช่าย กระเทียม ขึ้นฉ่าย กระหล่ำปลี ผักกาดขาวปลีห่อ กะหล่ำปม กะหล่ำดอก มะเขือเทศ นะครับ



ฤดูหนาวปีนี้ ขอแนะนำควรปลูก กะหล่ำดอก ซึ่งผู้ใช้บริโภคส่านของดอกที่อยู่บริเวณปลายยอดของลำต้น มีลักษณะเป็นก้อนสีขาวถึงเหลืองอ่อนอัดตัวกันแน่น อวบและกรอบ นิยมเรียกส่วนดังกล่าวว่า ดอกกะหล่ำ กะหล่ำดอกเป็นผักที่มีรสชาติอร่อยกรอบหวาน ใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง อีกทั้งเป็นผักที่ขายได้ราคาดี ไม่ค่อบเสียระหว่างการขนส่ง เก็บไว้ได้นานกว่าผักอื่น เพราะลำต้นมีความแข็งแรง เนื้อแน่นและไม่อวบน้ำ ในกะหล่ำดอกจะมีสารที่สามารถดึงสารก่อมะเร็งออกจากเซลล์ได้ สำหรับวิธีการปลูก เกษตรกรส่วนใหญ่จะเลือกปลูกพันธ์เบา มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 60-75 วันกะหล่ำดอกเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนเหนียว อินทรีย์วัตถุสูงและมีอากาศเย็น การระบายน้ำและอากาศดี ไม่ทนต่อสภาพดินเป็นกรดจัด ดินที่ปลูกควรมีค่า PH ระหว่าง 6-6.8 และ
ควรได้รับแสงแดดเต็มที่ การปลูกให้เพาะต้นกล้าก่อน เมื่อมีใบจริง 3-4 ใบ และมีต้นสูงประมาณ 10-12 เซนติเมตร จึงย้ายกล้าลงแปลงปลูก ก่อนย้ายต้นกล้าให้รดน้ำบนแปลงเพาะกล้าให้ชุ่ม ควรย้ายกล้าในเวลาเย็นแดดไม่จัด เพื่อไม่ให้ต้นกล้าคายน้ำมากไปทำให้เหี่ยวตายได้ กะหล่ำดอกมีบบรากตื้น การเตรียมดินเพียงขุดดินให้ลึก 15-20 เซนติเมตร ตากดินไว้ 5-7 วัน ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวได้ดีแล้วคลุกเคล้าลงไปในดินย่อยหน้าดินให้มีขนาดเล็ก ระยะปลูกระหว่างต้น 40 เซนติเมตร ระหว่างแถว 60 เซนติเมตร กลบดินกดบริเวณโคนต้นให้แน่น คลุมด้วยฟางแห้งเพือช่วยรักษาความชื้นในดิน รดน้ำให้ชุ่ม อาจใช้ทางมะพร้าวคลุมไว้ 3-5 วัน ให้น้ำวันล่ะ 2 ครั้ง เวลาเช้าแและเย็นอย่าปล่อยให้ขาดน้ำ เพราะจะชะงักการเจริญเติบโตและกระทบกรเทือนต่อการสร้างดอกด้วยนะครับ และเมืออายุประมาณ 30-40 วัน หลังย้ายการปลูก เราควรพรวรดินกลบ เมือดอกกะหล่ำมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-7 เซนติเมตร ควรมีการคลุมดอก โดยรวบใบบริเวณปลายยอดเข้าหากันอย่างหลวมๆ ระวังอย่าให้แน่นเกินไป แล้วใช้ยางรัดของมัดไว้ จะทำให้ดอกกะหล่ำมีสีขาวนวลน่ารับประทาน มีคุณภาพดี หลังจากคลุมดอก 1 สัปดาห์ ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว การเก็บเกี่ยว สังเกตได้จากขนาดของดอกโตเต็มที่และเป็นก้อนแน่น วิธีการเก็บเกียวโดยใช้มีดตัดดอกกะหล่ำให้มี ส่วนของใบบริเวณใกล้ดอกติดมาด้วย 2-3 ใบ เพื่อป้องก้นความเสียหายอันเกิดจากการขนส่งนะครับ



อ่านกันจบแล้วหวังว่าเกษตรกรได้รับความรู้ไม่มากก็น้อยนะครับ หากมีข้อส่งสัย หรือมีข้อมูลดีๆ โปรให้ข้อความเห็นได้ เพื่อพัฒนาพี่น้องเกษตรกรต่อไป ขอบคุณครับ




อ้างอิง : www.FarmKaset.ORG
ข้าวโพด|ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์|ข้าวโพดหวาน|การปลูกข้าวโพด|Dating|หาแฟน|ปุ๋ย