หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

สินค้าเกษตร ไอกี้-บีที กำจัดหนอน ปลอดสารพิษจากฟาร์มเกษตร


สินค้าเกษตร ไอกี้-บีที กำจัดหนอน ปลอดสารพิษจากฟาร์มเกษตร
ประกอบด้วยจุลินทรีย์สายพันธ์ บีที (BT) ที่มีประสิทธิภาพสูง คือ Bacillus thuringiensis var. aizawai และ Bacillus thuringi
ฆ่าหนอน กำจัดหนอน ปลอดสารพิษ

ไอกี้ - บีที [ Aiki-BT ]
ชื่อสามัญ : บาซิลลัส ทูริงเยนซิส [ Bacillus truringiensis ]
กลุ่มสารเคมี ​: Bacterium
สารสำคัญ : Bacillus thuringiensis var. kurstaki

ฆ่าหนอน กำจัดหนอนแมลงศัตรูพืชด้วยสารชีวินทรีย์ประสิทธิภาพสูง ไอกี้-บีที [ Aiki-BT ]
เพิ่มศักยภาพในการกำจัดแมลงศัตรูพืชให้กับเกษตรกร โดยการรวมประสิทธิภาพการกำจัดแมลงของเชื้อ Bacillus thuringiensis 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ Kustaki และ Aizawai เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อเพิ่มการปลดปล่อยสารพิษในการทำลายแมลงศัตรูพืช ด้วยการสร้างสารพิษผลึกโปรตีน delta-endotoxins ที่มีอยู่ในเชื้อ Bacillus thuringiensis เมื่อแมลงศัตรูพืชได้รับสารพิษนี้เข้าไป จะทำให้เกิดพิษในกระเพาะอาหารเป็นอัมพาต ลำตัวเหี่ยวแห้ง และตายภายในเวลา 24-48 ชั่วโมง โดยไม่เป็นอันตราต่อสิ่งแวดล้อม แมลงศัตูธรรมชาติ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ รวมทั้งปลอดภัยต่อผู้ใช้ และผู้บริโภค

-ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม แมลงศัตรูธรรมชาติ และสิ่งมีชีวิต ไม่มีสารพิษตกค้าง ไม่มีผลข้างเคียง กำจัดหนอนด้วยสารอินทรีย์จากธรรมชาติ
-ปลอดภัยต่อผู้ใช้ และผู้บริโภค เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ปลูกผักปลอดสารพิษ เพื่อการค้า และการส่งออก หรือผู้ปลูกผักปลอดสารพิษไว้บริโภคเอง

รายระเอียดเพิ่มเติม http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00240
----------------------------------
เกี่ยวกับ ฟาร์มเกษตร (ผู้ประกาศขายสินค้านี้)
เว็บไซต์ www.FarmKaset.ORG
ติดต่อฟาร์มเกษตร
สั่งสินค้า
โทร: 089-4599003
FAX: 045-511273
e-mail: FarmKaset@gmail.com
FarmKaset.ORG เป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานอุทยานวิทยาศาสตร์ (iTAP) , สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NiA) , Asean SME และเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ กับองค์กรที่มีความน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง ลูกค้าจึงสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา ว่า FarmKaset.ORG ตั้งอยู่ที่ใด ลูกค้าจึงสามารถมั่นใจได้ เมื่อทำการซื้อขายสินค้าต่างๆ จาก FarmKaset.ORG เกี่ยวกับฟาร์มเกษตรโดยละเอียดกรุณาดูที่ http://www.farmkaset.org/contact_us.aspx

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

เรื่องน่ารู้ของผักคราดหัวแหวน



ผักคราดหัวแหวน

เรื่องน่ารู้ของผักคราดหัวแหวน : ผักเพื่อสุขภาพ แก้ปวดฟัน ต่อกระดูก แก้อักเสบ

ผักคราดหัวแหวนเป็นสมุนไพรที่ชอบขึ้นในที่แฉะๆ พบได้ทุกภาคของประเทศไทย ผักคราดหัวแหวนจัดว่าเป็นสมุนไพรดอกสวย ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับได้ดี บางคนเรียกผักคราดหัวแหวนว่า ดอกกระดุมทอง ดอกตุ้มหู บ้าง เพราะดอกผักคราดหัวแหวนดูๆ ไปก็คล้ายหัวแหวนสีทอง บางคนก็บอกว่าคล้ายกระดุมทอง ดูอีกทีก็เหมือนตุ้มหูสีทอง ผักคราดหัวแหวนจึงถูกเรียกกันหลายชื่อ แล้วแต่ว่าใครจะคิดถึงเครื่องประดับชนิดไหน

ผักคราดหัวแหวนเป็นสมุนไพรที่เคยรับรู้มาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาเภสัชศาสตร์ว่า เป็นสมุนไพรแก้ปวดฟัน มีฤทธิ์เป็นยาชาด้วยสารที่ชื่อ Spilanthol และเมื่อจบออกมาทำงานที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้ทำสวนสมุนไพรเล็กๆ และได้นำผักคราดหัวแหวนมาปลูกไว้ เมื่อมีคนมาดูงานก็มักจะให้ทดลองกัดดอกของผักคราดหัวแหวนไว้ที่ฟัน แล้วจึงค่อยบอกว่าผักคราดหัวแหวนมีสรรพคุณเป็นยาชา ถึงตอนนั้นปากของเขาก็ชาไปแล้ว เป็นวิธีการให้คนเข้าถึงสมุนไพรอีกวิธีหนึ่ง

เมื่อก่อนที่จะได้พบพ่อเม่ากับคุณตาส่วนนั้นไม่เคยรู้เลยว่า ผักคราดหัวแหวนกินเป็นผักได้ โดยจะกินยอดอ่อน ใบอ่อน แกล้มน้ำพริก แกล้มลาบ และเมื่อเดินทางไปตามหาสมุนไพรแถวๆ ทางเหนือ ทั้งลำปาง เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน พบผักคราดหัวแหวนวางขายเป็นกองๆ อยู่ในตลาดสดมากมาย จนพอจะเดาได้ว่า แถบนี้คงมีการปลูกผักคราดหัวแหวนเป็นพืชผักเศรษฐกิจแน่ๆ ซึ่งต่อมาทราบว่าคนทางเหนือจะเอาผักเผ็ดไปแกงแค คนอีสานจะเอาไปใส่อ่อมปลา อ่อมกบ ส่วนคนทางใต้จะนำผักคราด ไปแกงร่วมกับหอยและปลา รสเผ็ดชาลิ้น หวานๆ ขมๆ

ตอนแรกก็สงสัยอยู่บ้างว่าทำไมคนจึงต้องไปกินผักที่มีรสชาติประหลาดที่สุดชนิดหนึ่ง (จะเป็นรองก็คงผักคาวตอง) เมื่อได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลทางเอกสารจึงทราบว่า ผักคราดหัวแหวนช่วยกระตุ้นให้น้ำลายออกมามาก ช่วยให้การย่อยอาหารในปากและกระเพาะอาหารดีขึ้น และยังช่วยรักษาอาการต่อมน้ำลายอักเสบได้ด้วย การกระตุ้นต่อมน้ำลายนั้นยังช่วยกระตุ้นระบบน้ำเหลืองจึงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ได้ดีขึ้น ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือสาร Spilanthol มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อปรสิตที่อยู่ในกระแสเลือด เช่น เชื้อมาลาเรีย โดยไม่มีพิษต่อคน ดังนั้น จึงมีแนวโน้มว่าการกินผักคราดหัวแหวนจะสามารถป้องกันมาลาเรียได้ และการที่ผักคราดหัวแหวนมีรสเผ็ดร้อนจึงช่วยในการขับลม รักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ได้อีกด้วย

ผักคราดหัวแหวน…หมอฟันจำเป็น ที่คนทั้งโลกก็รู้

ใครๆ ที่รู้จักผักคราดหัวแหวนต่างก็รู้ดีว่าผักคราดหัวแหวนแก้ปวดฟัน หมอยาไทยใหญ่ ทั้งในฝั่งรัฐฉานและในฝั่งไทย หมอยาไทยเลย หมอยาภาคใต้ และหมอยาภาคกลาง ต่างก็ใช้ผักคราดหัวแหวนเป็นยาแก้ “แมงกินฟัน” (หมอยาพื้นบ้านทุกภาคมีความเชื่อตรงกันว่าการที่ฟันผุนั้นมีพยาธิที่มักจะเรียกกันว่า “แมงกินฟัน” เป็นตัวการทำให้ฟันผุและปวดฟัน) โดยจะใช้เฉพาะดอกขยี้ใส่หรือใช้ทั้งห้าตำผสมเกลือ คั้นเอาน้ำใส่ซอกฟันที่กำลังปวดจะทำให้หายปวดฟัน ทั้งนี้เพราะผักคราดหัวแหวนมีฤทธิ์เป็นยาชาและมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้อย่างกว้างขวางจึงทำให้ผักคราดหัวแหวนสามารถใช้แก้ปวดฟันได้ในยามที่ไม่มีหมอฟัน ในหลายประเทศผักคราดหัวแหวนมีฉายาว่า Toothache Plant ซึ่งหมายถึงการใช้เป็นยาแก้ปวดฟันเช่นเดียวกับบ้านเรา

นอกจากจะใช้เป็นยาแก้ปวดฟันตามที่กล่าวมาแล้ว ยังมีการนำรากมาต้มเอาน้ำบ้วนปาก แก้อาการอักเสบในช่องปาก แก้เหงือกอักเสบ และแก้เจ็บคอได้อีกด้วย

ผักคราดหัวแหวน…ยารักษากระดูกหัก
ยาห้ามเลือด รักษาแผล

ผักคราดหัวแหวนเป็นยาทำให้กระดูกต่อกันได้ การใช้ผักคราดหัวแหวนในการรักษากระดูกหักนั้นไม่เคยพบที่ไหน จนกระทั่งไปพบกับหมอยาไทยใหญ่ ซึ่งชุมชนไทยใหญ่ยังมีปัญหากระดูกแตกกระดูกหักกันอยู่มากและส่วนหนึ่งยังไม่ศรัทธาการรักษากระดูกหักตามระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน ตำรับหนึ่งที่เขาใช้รักษากระดูกหัก กระดูกแตกคือการใช้ผักคราดหัวแหวนตำรวมกับตะไคร้พอกกระดูกไว้ เปลี่ยนยาทุก ๖ วัน ครบ ๔๑ วัน กระดูกจะต่อกันติด ซึ่งอาจเป็นเพราะผักคราดหัวแหวนมีฤทธิ์ร้อนทำให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้นมากขึ้น ทั้งยังมีฤทธิ์แก้อักเสบ จึงอาจช่วยเรื่องกระดูกหักได้ ผักคราดหัวแหวนยังเป็นยาห้ามเลือดที่ดีชนิดหนึ่งเมื่อมีบาดแผล ชาวบ้านจะขยี้หรือตำต้นสดพอกแผลเลือดจะหยุดไหล

ผักคราดหัวแหวน…ยาแก้ปวดตามกระดูกและกล้ามเนื้อ
ยารักษาอัมพฤกษ์ อัมพาต เหน็บชา

หมอยาพื้นบ้านหลายพื้นที่ยังนิยมใช้ผักคราดหัวแหวนเป็นยาแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ แก้ปวดบวม ฟกช้ำ โดยตำทั้งต้นใส่น้ำพอชุ่มพอกบริเวณที่ปวดบวม ฟกช้ำ จะระงับอาการปวดบวมและแก้อักเสบได้ สำหรับคนที่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เหน็บชา จะใช้ผักคราดหัวแหวนกับพริกไทย หัวอุตพิด ในอัตราส่วนเท่าๆ กันผสมน้ำมันพืชทา หรือจะใช้ผักคราดหัวแหวนกันสมุนไพรที่มีรสร้อนตัวอื่นๆ เช่น ข่า ไพล ตะไคร้ ก็ได้ ขึ้นกับว่าในท้องถิ่นมีสมุนไพรอะไรอยู่ หรือใส่ในยาอบร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นเพื่อแก้ปวดเมื่อย แก้ปวดตามข้อก็ได้
ผักคราดหัวแหวน…ยาสำหรับผู้หญิง

ผักคราดหัวแหวนเป็นยาแก้ปวดประจำเดือนที่ดีชนิดหนึ่ง โดยจะคั้นน้ำจากต้นสดของผักคราดหัวแหวนผสมน้ำผึ้งรับประทาน ส่วนหมอยาพื้นบ้านภาคใต้จะใช้ต้นสดของผักคราดหัวแหวน ผสมน้ำมะนาวทำเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเม็ดพุทรา กินครั้งละ ๑ เม็ดหลังอาหาร ผักคราดหัวแหวนยังนิยมใช้ใส่ในยาอบหรือยาอาบหลังคลอดโดยใช้ร่วมกับใบหนาดใหญ่และใบมะขาม เพื่อบำรุงเลือดลมสตรีให้ทำงานเป็นปกติ

พ่อหมอยาบอกว่าผักเผ็ดที่มีฤทธิ์ดีในการนำมาทำยานั้นควรเป็นผักเผ็ดที่ขึ้นตามธรรมชาติ

คุณค่าทางยาพื้นบ้าน


มีสรรพคุณเป็นอาหารบำรุงธาตุหญิงหลังคลอด และมีอาการวิงเวียนศีรษะ


เราหวังว่า ทุกท่านได้ประโยชน์ที่อ่านบทความนี้ตามพอสมควร
ขอความกรุณาแสดงความเห็น ให้เราด้วยนะครับ เพือปรับปรุงบทความต่อๆไป ขอบคุณครับ
อ้างอิง : http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

เรื่องน่ารู้ของผักกาดน้ำ

ผักกาดน้ำ

เรื่องน่ารู้ของผักกาดน้ำ : ยาเอ็น ยากระดูก ยานิ่ว

ผักกาดน้ำ...ผักพื้นบ้านไทย สมุนไพรในสากล

ผักกาดน้ำขึ้นอยู่ในที่ชุ่มชื้นทั่วๆ ไป พบได้ในหลายประเทศทั้งจีน ญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา เอเชีย เรียกว่าเกือบหมดทั้งโลก ยกเว้นในเขตหนาวเท่านั้นกระมังที่ไม่มีผักกาดน้ำ ในเมืองไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาค คนในแถบภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคเหนือหลายพื้นที่กินผักกาดน้ำเป็นผักสดจิ้มน้ำพริก ผักกาดน้ำอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินบี วิตามินซี และโอสถสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ช่วยกำจัดพิษออกจากร่างกาย เป็นยาระบายอ่อนๆ โดยจะกินช่อดอกอ่อนๆ ใบอ่อนๆ (ต้องรีบเก็บตอนที่เป็นใบอ่อนจริงๆ เพราะใบผักกาดน้ำแก่เร็ว) แต่ในระยะหลังๆ ไม่ค่อยพบผักกาดน้ำในธรรมชาติบ่อยนัก ส่วนคนที่รู้จักกินผักกาดน้ำเป็นผักก็มีจำนวนน้อยลงมาก วัฒนธรรมการกินผักกาดน้ำเป็นผักนี้เป็นวัฒนธรรมร่วมของคนทั้งโลกที่มีเจ้าต้นผักกาดน้ำขึ้นอยู่ มีทั้งกินเป็นผักสดๆ และนำไปปรุงสุก นอกจากกินเป็นผักแล้ว ยังใช้ผักกาดน้ำในการรักษาโรคหลายชนิดกันอย่างกว้างขวางมายาวนานนับพันปี ถือเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูงชนิดหนึ่ง และได้รับการยอมรับในการใช้เป็นสมุนไพรในเภสัชตำรับของเยอรมัน(German Commission E) สำหรับรักษาอาการไอและหลอดลมอักเสบจากการติดเชื้อ และใช้รักษาโรคผิวหนังอักเสบ แทบจะกล่าวได้ว่าผักกาดน้ำเป็นสมุนไพรที่มีการนำไปใช้และศึกษาวิจัยกันมากที่สุดชนิดหนึ่ง แต่ผักกาดน้ำก็เช่นเดียวกับเพื่อนๆ ผักหญ้าสมุนไพรชนิดอื่นๆ ที่ไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ จึงทำให้ไม่มีหน่วยงานไหนมาส่งเสริมสนับสนุนให้คนใช้กันมากนัก ผักกาดน้ำจึงนับวันแต่จะหายไปไม่ว่าจะใช้เป็นผักหรือใช้เป็นยาก็ตาม

ผักกาดน้ำ…ยาขับปัสสาวะที่นักศึกษาเภสัชศาสตร์รู้จักดี

ครั้งแรกที่รู้ว่าผักกาดน้ำเป็นยา ก็ครั้งเป็นนักศึกษาเภสัชศาสตร์ชั้นปีที่ ๒ ของมหาวิทยาลัยมหิดล ในวิชาพฤกษศาสตร์อันเป็นวิชาที่เหมือนฝันร้ายของเภสัชกรหลายคน รวมถึงคนจบการศึกษาออกมาแล้ว เพราะอาจารย์ที่สอนวิชานี้ไม่ว่าคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยไหน ต่างมีพฤติกรรมการออกข้อสอบคล้ายๆ กันคือ ชอบไปเอาต้นสมุนไพรที่ผิดปกติมาออกข้อสอบ ต้นสมุนไพรที่ทุกคนเห็นและจำได้ทันทีอย่างผักกาดน้ำไม่มีทางได้เป็นข้อสอบ เพราะผักกาดน้ำเป็นสมุนไพรพื้นๆ ที่เภสัชกรแทบทุกคนจำได้ว่ามันมีสรรพคุณ “ขับปัสสาวะ” เป็นสรรพคุณติดป้ายแน่นหนามากับผักกาดน้ำที่ไม่ใช่เพียงเภสัชกรเท่านั้นที่รู้กันดี แต่หมอแผนไทยทุกคนจนถึงหมอยาพื้นบ้านไทยในทุกภาค หมอยาจีน คนขายสมุนไพรในร้านขายวัตถุดิบสมุนไพรต่างก็มีความรู้นี้อย่างแน่นหนาเช่นกัน โดยหมอยาทั้งหลายจะใช้ทั้งต้น ก้านใบ ต้มน้ำรับประทานเป็นยาแก้นิ่ว แก้ช้ำรั่ว (ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ปัสสาวะกะปริบกะปรอย) แก้หนองใน ขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน (ในน้ำจับเลี้ยงแก้ร้อนในที่ขายกันอย่างแพร่หลายนั้นมีผักกาดน้ำผสมอยู่ด้วย) ซึ่งการศึกษาทางเภสัชวิทยาสมัยใหม่พบว่า ผักกาดน้ำมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ ละลายก้อนนิ่วในไต ลดความดันโลหิต ซึ่งสนับสนุนการใช้ของหมอยาไทยและหมอยาจีน

ผักกาดน้ำ…ยารักษาเอ็น รักษากระดูก

การใช้ผักกาดน้ำในการเป็นยารักษาอาการอักเสบของเอ็นและกล้ามเนื้อ อาการปวดตึงที่คอ หลัง เอว แขน ขา การหกล้มฟกช้ำ ข้อเท้าแพลง จนเดินเขยกหรือเดินไม่ได้ รวมไปถึงการรักษาอาการกระดูกหัก กระดูกแตกนั้น ได้รู้เมื่อไปตามเก็บความรู้กับหมอยาไทยใหญ่ ซึ่งความรู้ในการใช้ผักกาดน้ำหรือที่ไทยใหญ่เรียกว่า หญ้าเอ็นยืด นั้น (ไทยใหญ่มักเรียกชื่อสมุนไพรตามสรรพคุณทางยาเป็นส่วนใหญ่) แม้แต่เด็กๆ ก็รู้ว่าหญ้าเอ็นยืดมีสรรพคุณในการรักษาเอ็น รักษากระดูก ดังนั้นเวลาหกล้มข้อเท้าแพลงเด็กไทยใหญ่จะไปเก็บหญ้าเอ็นยืดมาทุบๆ ให้น้ำออกแล้วพอกบริเวณที่ข้อเท้าแพลงนั้น เชื่อกันว่าหญ้าเอ็นยืดจะทำให้เส้นเอ็นคลายตัวบรรเทาความเจ็บปวดลงได้ นอกจากคนไทยใหญ่แล้ววัฒนธรรมการใช้หญ้าเอ็นยืดรักษาอาการเคล็ดขัดยอกนี้ยังเป็นที่แพร่หลายในบรรดาหมอเมือง ชาวล้านนาทั้งหลายด้วย โดยลูกประคบหรือยาจู้ของหมอเมืองนอกเหนือไปจากไพลและขมิ้นเหมือนลูกประคบทั่วๆ ไปแล้ว ยังมีสมุนไพรหลักตัวหนึ่งที่จะขาดเสียมิได้ก็คือ หญ้าเอ็นยืด

นอกจากจะใช้เป็นยาแก้อาการอักเสบของเอ็นและกล้ามเนื้อแล้ว หมอยาไทยใหญ่ยังใช้หญ้าเอ็นยืดเป็นยารักษากระดูกหัก กระดูกแตก โดยใช้ร่วมกับสมุนไพรตัวอื่น เช่น หญ้าติ๊ดสืบ (หญ้าถอดปล้อง) ตะไคร้ บอระเพ็ด เครือป๊กตอ (เถาวัลย์ปูน) เป็นต้น

การใช้ผักกาดน้ำในการรักษาอาการเคล็ดขัดยอก กระดูกหักกระดูกแตกนี้ มิใช่เฉพาะหมอเมืองและหมอยาไทยใหญ่เท่านั้นที่ใช้กัน หมอยาพื้นบ้านในหลายประเทศ ต่างก็ใช้ผักกาดน้ำในสรรพคุณนี้อย่างทั่วถึง โดยมีการศึกษาจนเป็นทียอมรับแล้วว่า ผักกาดน้ำมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาบาดแผลจากการที่ทำให้เลือดหยุดไหลและช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ ทั้งยังช่วยลดการอักเสบ ลดการซึมผ่านของหลอดเลือดฝอย (ช่วยลดอาการบวม) อีกด้วย

ผักกาดน้ำ…ยารักษาโรคผิวหนัง

หมอยาพื้นบ้านไทยยังนิยมใช้ผักกาดน้ำเป็นยารักษาอาการคันจากการถูกต้นตำแย ใช้แก้พิษเนื่องจากผึ้งต่อยหรือแมลงสัตว์กัดต่อย รักษาแผลสด แผลเรื้อรัง โดยการตำใบของผักกาดน้ำพอกบริเวณที่มีอาการแล้วเปลี่ยนยาบ่อยๆ เชื่อว่าการใช้ผักกาดน้ำรักษาแผลจะทำให้ไม่เกิดแผลเป็น ซึ่งพออธิบายได้ว่าเนื่องจากผักกาดน้ำมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และลดอาการแพ้

ผักกาดน้ำเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูงมาก ในต่างประเทศมีการใช้ผักกาดน้ำเป็นสมุนไพรรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคลำไส้อักเสบ (Irritable Bowel Syndrome) ทั้งยังใช้เป็นสมุนไพรเพื่อการเลิกบุหรี่ ใช้รักษาอาการไหม้จากการถูกแสงแดด ถูกลม โดยใช้น้ำคั้นจากใบทา ใช้ทำเป็นครีมหรือโลชั่นบำรุงผิวลบรอยเหี่ยวย่น รักษาโรคผิวหนังหลายชนิด เช่น อาการอักเสบของผิวหนังในทารกที่เราเรียกว่า "ผ้าอ้อมกัด" โดยใช้ใบผักกาดน้ำแห้งแช่ในน้ำมันแล้วนำไปตากแดดเพื่อสกัดสารออกมาจากใบ นำน้ำมันมาใช้ทาบริเวณที่เกิดอาการ


เราหวังว่า ทุกท่านได้ประโยชน์ที่อ่านบทความนี้ตามพอสมควร
ขอความกรุณาแสดงความเห็น ให้เราด้วยนะครับ เพือปรับปรุงบทความต่อๆไป ขอบคุณครับ
อ้างอิง : http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778

วิธีทำนาหว่าน

วิธีทำนาหว่าน

การทำนาหว่าน เป็นการปลูกข้าวโดยการหว่านเมล็ดลงไปในนาที่เตรียมพื้นที่ไว้แล้วโดยตรง เป็นวิธีการที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากประหยัดแรงงานและเวลา

การทำนาหว่าน แบ่งเป็น 2 วิธี คือ

1. นาหว่านข้าวแห้ง เป็นการหว่านเมล็ดข้าวเพื่อคอยฝน และมีชื่อเรียกปลีกย่อยไปตามวิธีปฏิบัติ คือ

- การหว่านสำรวย เป็นการหว่านในสภาพดินแห้ง เนื่องจากฝนยังไม่ตก โดยหลังจากการไถแปรครั้งสุดท้ายแล้วหว่านเมล็ดข้าวลงไปโดยไม่ต้องคราดกลบ เมล็ดจะตกลงไปอยู่ในระหว่างก้อนดิน เมื่อฝนตกลงมาเมล็ดข้าวจะงอกขึ้นมาเป็นต้น

- การหว่านหลังขี้ไถ เป็นการหว่านในสภาพที่มีฝนตกลงมา และน้ำเริ่มจะขังในกระทงนา เมื่อไถแปรแล้วก็หว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวตามหลัง แล้วคราดกลบทันที

2. นาหว่านข้าวงอก หว่านน้ำตมหรือหว่านเพาะเลย โดยการนำเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ถูกเพาะให้งอก มีขนาดตุ่มตา (มีรากงอกประมาณ 1-2 มิลลิเมตร) แล้วจึงหว่านลงในกระทงนา ซึ่งมีการเตรียมดินจนเป็นเทือก แยกเป็น

- การหว่านหนีน้ำ ทำในนาน้ำฝน เนื่องจากการหว่านข้าวแห้งหรือทำการตกกล้าไม่ทัน เมื่อฝนมามาก หลังจากเตรียมดินเป็นเทือกดีแล้ว ก็หว่านข้าวที่เพาะจนงอก ลงไปในกระทงนาที่มีน้ำขังอยู่มากจึงเรียกว่า นาหว่านน้ำตม

- นาชลประทาน หรือนาในเขตที่มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ การทำนาในสภาพนี้มักจะให้ผลผลิตสูง หลังจากเตรียมดินเป็นเทือกดีแล้วระบายน้ำออกหรือให้เหลือน้ำขังบนผืนนาน้อยที่สุด นำเมล็ดพันธุ์ข้าวที่งอกขนาด “ตุ่มตา” หวานลงไป แล้วคอยดูแลควบคุมการให้น้ำ มักจะเรียกการทำนาแบบนี้ว่า “การทำนาน้ำตมแผนใหม่”

การทำนาหว่านน้ำตม

การทำนาหว่านน้ำตมที่จะให้ได้ผลดีนั้น จะต้องปรับพื้นที่นาให้สม่ำเสมอ มีคันนาล้อมรอบและสามารถควบคุมน้ำได้ การเตรียมดินก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับการเตรียมดินในนาดำ หลังการเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ควรปล่อยให้เมล็ดข้าวที่ร่วงหล่นในนามีเวลางอกเป็นต้นข้าว เพื่อลดปัญหาข้าวเรื้อ หรือข้าววัชพืชในนา แล้วจึงไถดะ แล้วปล่อยน้ำเข้าพอให้ดินชุ่มอยู่เสมอ ประมาณ 5-10 วัน เพื่อให้เมล็ดวัชพืช งอกขึ้นมาเป็นต้นอ่อนเสียก่อนจึงปล่อยน้ำเข้านา แล้วทำการไถแปรและคราด หรือใช้ลูกทุบตี จะช่วยทำลายวัชพืชได้ หากทำเช่นนี้ 1-2 ครั้ง หรือมากกว่านั้น โดยทิ้งระยะห่างกันประมาณ 4-5 วัน หลังจากไถดะไถแปร และคราดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขังน้ำไว้ประมาณ 3 สัปดาห์ เพื่อให้ลูกหญ้าที่เป็นวัชพืชน้ำ เช่น ผักตบ ขาเขียด ทรงกระเทียม ผักปอดและพวกกกเล็ก เป็นต้น งอกเสียก่อน จึงคราดให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ลูกหญ้าจะหลุดลอยไปติดคันนาใต้ทางลม ก็จะสามารถช้อนออกได้หมด เป็นการทำลายวัชพืชวิธีหนึ่ง เมื่อคราดแล้วจึงระบายน้ำออกและปรับเทือกให้สม่ำเสมอ สำหรับผู้ที่ใช้ลูกทุบหรืออีขลุก ย่ำฟางข้าวให้จมลงไปในดินแทนการไถ หลังจากย่ำแล้วควรเอาน้ำแช่ไว้ ให้ฟางเน่าเปื่อยจนหมดความร้อนเสียก่อน อย่างน้อย 3 อาทิตย์ แล้วจึงย่ำใหม่ เพราะแก๊สที่เกิดจากการเน่าเปื่อยของฟางจะเป็นอันตรายต่อต้นข้าว จะทำให้รากข้าวดำไม่สามารถหาอาหารได้ หลังจากนั้นจึงระบายน้ำออกเพื่อปรับเทือก

การปรับพื้นที่นาหรือการปรับเทือกให้สม่ำเสมอ จะทำให้ควบคุมน้ำได้สะดวก การงอกของข้าวดีเติบโตสม่ำเสมอ เพราะเมล็ดข้าวมักจะตายถ้าตกลงไปในแอ่งหรือหลุมที่มีน้ำขัง เว้นแต่กรณีดินเป็นกรดจัดละอองดินตกตะกอนเร็วเท่านั้นที่ต้นข้าวสามารถขึ้นได้ แต่ถ้าแปลงใหญ่เกินไปจะทำให้น้ำเกิดคลื่น ทำให้ข้าวหลุดลอยง่าย และข้าวรวมกันเป็นกระจุก ไม่สม่ำเสมอ นอกจากนั้นการปรับพื้นที่ให้สม่ำเสมอ ยังช่วยควบคุมการงอกของเมล็ดวัชพืช ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของการทำนาหว่านน้ำตมอีกด้วย การปรับพื้นที่ทำเทือก ควรทำก่อนหว่านข้าวหนึ่งวัน เพื่อให้ตะกอนตกดีเสียก่อน แล้วแบ่งกระทงนาออกเป็นแปลงย่อยๆ ขนาดกว้าง 3-5 เมตร ยาวตามความยาวของกระทงนา ทั้งนี้แล้วแต่ความสามารถของคนหว่าน ถ้าคนหว่านมีความชำนาญอาจแบ่งให้กว้าง การแบ่งอาจใช้วิธีแหวกร่อง หรือใช้ไหกระเทียมผูกเชือกลากให้เป็นร่องก็ได้ เพื่อให้น้ำตกลงจากแปลงให้หมด และร่องนี้ยังใช้เป็นทางเดินระหว่างหว่านข้าว หว่านปุ๋ย และพ่นสารเคมีได้ตลอดแปลง โดยไม่ต้องเข้าไปในแปลงย่อยได้อีกด้วย

การเตรียมเมล็ดพันธุ์

- ตรวจความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ พิจารณาว่ามีเมล็ดข้าวพันธุ์อื่นหรือเมล็ดวัชพืชปนหรือไม่ ไม่มีโรคหรือแมลงทำลาย รูปร่างเมล็ดมีความสม่ำเสมอ ถ้าพบว่ามีเมล็ดข้าวพันธุ์อื่นหรือเมล็ดวัชพืชปน หรือมีโรค แมลงทำลายก็ไม่ควรนำมาใช้ทำพันธุ์

- การทดสอบความงอก โดยการนำเมล็ดข้าว จำนวน 100 เมล็ด มาเพาะเพื่อดูเปอร์เซ็นต์ ความงอก อาจทำ 3-4 ซ้ำเพื่อความแน่นอน เมื่อรู้ว่าเมล็ดงอกกี่เปอร์เซ็นต์จะได้กะปริมาณพันธุ์ข้าวที่ใช้ได้ถูกต้อง

- คัดเมล็ดพันธุ์ให้ได้เมล็ดที่แข็งแรง มีน้ำหนักเมล็ดดีที่เรียกว่าข้าวเต็มเมล็ด จะได้ต้นข้าวที่เจริญเติบโตแข็งแรง

อัตราเมล็ดพันธุ์

อัตราเมล็ดพันธุ์ที่ใช้ในการทำนาหว่านน้ำตม ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ กล่าวคือ ถ้ามีการเตรียมดินไว้ดี มีเทือกอ่อนนุ่ม พื้นดินปรับได้ระดับ เมล็ดที่ใช้เพียง 7-8 กิโลกรัมหรือ 1 ถังต่อไร่ ก็เพียงพอที่จะทำให้ได้ผลผลิตสูง แต่ถ้าพื้นที่ปรับได้ไม่ดี การระบายน้ำทำได้ยาก รวมถึงอาจมีการทำลายของนก หนู หลังจากหว่าน เมล็ดที่ใช้หว่านควรมากขึ้น เพื่อชดเชยการสูญเสีย ดังนั้นเมล็ดที่ใช้ควรเป็นไร่ละ 15-20 กิโลกรัม

การหว่าน

ควรหว่านให้สม่ำเสมอทั่วแปลง ข้าวจะได้รับธาตุอาหาร แสงแดด และเจริญเติบโตสม่ำเสมอกัน ทำให้ได้ผลผลิตสูง โดยเดินหว่านในร่องแคบๆ ที่ทำไว้ เมล็ดพันธุ์ที่ใช้หว่านแต่ละแปลงย่อย ควรแบ่งออกเป็นส่วนๆ ตามขนาดและจำนวนแปลงย่อย เพื่อเมล็ดข้าวที่หว่านลงไปจะได้สม่ำเสมอทั่วทั้งแปลง ในนาที่เป็นดินทรายมีตะกอนน้อยหลังจากทำเทือกแล้วควรหว่านทันที กักน้ำไว้หนึ่งคืนแล้วจึงระบายออก จะทำให้ข้าวงอกและจับดินดียิ่งขึ้น

การดูแลรักษา

การทำนาหว่านน้ำตม จะต้องมีการดูแลให้ต้นข้าวงอกดีโดยพิจารณาถึง

1. พันธุ์ข้าว การใช้พันธุ์ข้าวนาปีซึ่งมีลำต้นสูง ควรจะทำการหว่านข้าวให้ล่า ให้อายุข้าวจากหว่านถึงออกดอกประมาณ 70-80 วัน เนื่องจากความยาวแสงจะลดลง จะทำให้ต้นข้าวเตี้ยลง เนื่องจากถูกจำกัดเวลาในการเจริญเติบโตทางต้นและทางใบ ทำให้ต้นข้าวแข็งขึ้นและไม่ล้มง่าย สำหรับข้าวที่ไม่ไวแสงหรือข้าวนาปรังไม่มีปัญหา เพียงแต่กะระยะให้เก็บเกี่ยวในระยะฝนทิ้งช่วง หรือหมดฝน หรือหลีกเลี่ยงไม่ให้ข้าวบางพันธุ์ เช่น ปทุมธานี 1 ออกดอกในฤดูหนาวเป็นต้น

2. ระดับน้ำ การจะผลผลิตข้าวให้ได้ผลผลิตสูงการควบคุมระดับน้ำเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะตั้งแต่เริ่มหว่านจนข้าวแตกกอ ระดับน้ำไม่ควรเกิน 5 เซนติเมตร เมื่อข้าวแตกกอเต็มที่ ระดับน้ำอาจเพิ่มสูงขึ้นได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องสูบน้ำบ่อยๆ แต่ไม่ควรเกิน 10 เซนติเมตร เพราะถ้าระดับน้ำสูงจะทำให้ต้นข้าวที่แตกกอเต็มที่แล้ว เพิ่มความสูงของต้น และความยาวของใบ โดยไม่ได้ประโยชน์อะไร เป็นเหตุให้ต้นข้าวล้ม เกิดการทำลายของโรคและแมลงได้ง่าย

3. การใส่ปุ๋ย ต้องใส่ปุ๋ยให้ถูกต้องตามระยะเวลาที่ข้าวต้องการ จำนวนที่พอเหมาะ จึงจะให้ผลคุ้มค่า

4. การใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช วัชพืชเป็นปัญหาใหญ่ในการทำนาหว่าน้ำตม การปรับระดับพื้นที่ให้ราบเรียบสม่ำเสมอและการควบคุมระดับน้ำจะช่วยลดประชากรวัชพืชได้ส่วนหนึ่ง ถ้ายังมีวัชพืชในปริมาณสูงจำเป็นต้องใช้สารเคมี

5. การป้องกันกำจัดโรค แมลง และสัตว์ศัตรูข้าว ปฏิบัติเหมือนการทำนาดำ


เราหวังว่า ทุกท่านได้ประโยชน์ที่อ่านบทความนี้ตามพอสมควร
ขอความกรุณาแสดงความเห็น ให้เราด้วยนะครับ เพือปรับปรุงบทความต่อๆไป ขอบคุณครับ
อ้างอิง : http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

การทำนาดำ


วิธีปลูกข้าว แบบปักดำ

1. การทำนาดำ เป็นวิธีการทำนาที่มีการนำเมล็ดข้าวไปเพาะในแปลงที่เตรียมไว้ (แปลงกล้า)ให้งอกเป็นต้นกล้า แล้วถอนนำต้นกล้าไปปักลงในกระทงนาที่เตรียมเอาไว้ และมีการดูแลรักษาจนให้ผลผลิต การทำนาดำนิยมในพื้นที่ที่มีแรงงานเพียงพอ

การทำนาดำ มีขั้นตอนดังต่อไปนี้

การเตรียมดิน
การเตรียมดินสำหรับการทำนา ต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อม เช่น น้ำ ภูมิอากาศ ลักษณะพื้นที่ ตลอดจนแบบวิธีการทำนา และเครื่องมือการเตรียมดินที่แตกต่างกัน การเตรียมดินแยกได้เป็น 2 ขั้นตอนคือ

1. การไถดะ และไถแปร คือ การพลิกหน้าดิน ตากดินให้แห้ง ตลอดจนเป็นการคลุกเคล้าฟาง วัชพืช ฯลฯ ลงไปในดิน เครื่องมือที่ใช้ อาจเป็น รถไถเดินตามจนถึง รถแทรกเตอร์

2. การคราดหรือใช้ลูกทุบ คือการกำจัดวัชพืช ตลอดจนการทำให้ดินแตกตัว และเป็นเทือกพร้อมที่จะปักดำได้ ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ทำต่อจากขั้นตอนที่ 1 และขังน้ำไว้ระยะหนึ่ง เพื่อให้มีสภาพดินที่เหมาะสมในการคราดหรือการใช้ลูกทุบ ในบางพื้นที่อาจมีการใช้ โรตารี

การเตรียมดินในพื้นที่ที่อยู่ในสภาพภูมิประเทศต่างๆ

นาที่สูง (ข้าวไร่)
นาดอน (นาน้ำฝน)
นาลุ่ม (นาชลประทาน)

ข้อควรระวังในการเตรียมดิน


1. ควรปล่อยให้ดินนามีโอกาสแห้งสนิท เป็นระยะเวลานานพอสมควร และถ้าสามารถไถพลิกดินล่างขึ้นมาตากให้แห้งได้ก็จะดียิ่งขึ้น ถ้าดินเปียกน้ำติดต่อกันโดยไม่มีโอกาสแห้ง จะเกิดการสะสมของสารพิษ เช่นแก๊สไข่เน่า (ไฮโดรเจนซัลไฟด์) เป็นต้น ซึ่งถ้าแก๊สนี้มีปริมาณมากก็จะเป็นอันตรายต่อต้นข้าวได้

2. ควรจะมีการปล่อยน้ำขังนาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อให้กระบวนการหมักและสลายตัวของอินทรียวัตถุเสร็จสิ้นเสียก่อน ดินจะปรับตัวอยู่ในสภาพที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของข้าว และจะปลดปล่อยธาตุอาหารที่จำเป็นออกมาให้แก่ต้นข้าว

3. ดินกรดจัดหรือดินเปรี้ยวจัด หรือดินกรดกำมะถัน เป็นดินที่มีสารที่จะก่อให้เกิดความเป็นกรด (pH ต่ำ) แก่ดินได้มากเมื่อสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศ ดินพวกนี้จึงจำเป็นต้องขังน้ำไว้ตลอด เพื่อไม่ให้สารดังกล่าวได้สัมผัสกับออกซิเจน จึงควรที่จะขังน้ำไว้อย่างน้อย 1 เดือน ก่อนปักดำข้าว เพื่อให้ปฏิกิริยาต่างๆ ตลอดจนความเป็นกรดของดินลดลงสู่สภาวะปกติ และค่อนข้างเป็นกลางเสียก่อน ดินกลุ่มนี้ถ้ามีการขังน้ำตลอดปี หรือมีการทำนาปีละ 2 ครั้ง ก็จะเป็นการลดสภาวะความเป็นกรดของดิน และการเกิดสารพิษลงได้ ซึ่งจะทำให้ผลผลิตของข้าวสูงขึ้น

การตกกล้า

การเตรียมต้นกล้าให้ได้ต้นที่แข็งแรง เมื่อนำไปปักดำก็จะได้ข้าวที่เจริญเติบโตได้รวดเร็ว และมีโอกาสให้ผลผลิตสูง ต้นกล้าที่แข็งแรงดีต้องมีการเจริญเติบโตและความสูงสม่ำเสมอกันทั้งแปลง มีกาบใบสั้น มีรากมากและรากขนาดใหญ่ ไม่มีโรคและแมลงทำลาย

- การเตรียมเมล็ดพันธุ์ ที่ใช้ตกกล้าต้องเป็นเมล็ดพันธุ์ที่บริสุทธ์ ปราศจากสิ่งเจือปน มีเปอร์เซ็นต์ความงอกสูง (ไม่ต่ำกว่า 80 เปอร์เซ็นต์) ปราศจากการทำลายของโรคและแมลง

- การแช่และหุ้มเมล็ดพันธุ์ นำเมล็ดข้าวที่ได้เตรียมไว้บรรจุในภาชนะ นำไปแช่ในน้ำสะอาด นานประมาณ 12-24 ชั่วโมง จากนั้นนำเมล็ดพันธุ์ขึ้นมาวางบนพื้นที่น้ำไม่ขัง และมีการถ่ายเทของอากาศดี นำกระสอบป่านชุบน้ำจนชุ่มมาหุ้มเมล็ดพันธุ์โดยรอบ รดน้ำทุกเช้าและเย็น เพื่อรักษาความชุ่มชื้น หุ้มเมล็ดพันธุ์ไว้นานประมาณ 30-48 ชั่วโมง เมล็ดข้าวจะงอกขนาด “ตุ่มตา” (มียอดและรากเล็กน้อยโดยรากจะยาวกว่ายอด) พร้อมที่จะนำไปหว่านได้

ในการหุ้มเมล็ดพันธุ์นั้น ควรวางเมล็ดพันธุ์ไว้ในที่ร่ม ไม่ถูกแสงแดดโดยตรง และขนาดของกองเมล็ดพันธุ์ต้องไม่โตมากเกินไป หรือบรรจุถุงขนาดใหญ่เกินไป เพื่อไม่ให้เกิดความร้อนสูงในกองข้าว เพราะถ้าอุณหภูมิสูงมากเกินไปเมล็ดพันธุ์ข้าวจะตาย ถ้าอุณหภูมิพอเหมาะข้าวจะงอกเร็ว และสม่ำเสมอกันตลอดทั้งกอง

- การตกกล้า การตกกล้ามีหลายวิธีการ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและวัตถุประสงค์ เช่นการตกกล้าบนดินเปียก (ทำเทือก) การตกกล้าบนดินแห้ง และการตกกล้าใช้กับเครื่องปักดำข้าว

การตกกล้าในสภาพเปียก หรือการตกกล้าเทือก เป็นวิธีที่ชาวนาคุ้นเคยกันดี การตกกล้าแบบนี้จะต้องมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่เสมอ การดูแลรักษาไม่ยุ่งยากและความสูญเสียจากการทำลายของศัตรูข้าวมีน้อย มีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้

- การเตรียมดิน ปฏิบัติเช่นเดียวกับแปลงปักดำ แต่เพิ่มความพิถีพิถันมากขั้น ในการเก็บกำจัดวัชพืช และปรับระดับเทือกให้ราบเรียบสม่ำเสมอ

- การเพาะเมล็ดพันธุ์ ปฏิบัติตามขั้นตอนของการเตรียมเมล็ดพันธุ์ การแช่และหุ้มเมล็ดพันธุ์ โดยใช้อัตราเมล็ดพันธุ์ 50-60 กรัมต่อตารางเมตร หรือประมาณ 80-90 กิโลกรัมต่อไร่ จะได้กล้าสำหรับปักดำได้ประมาณ 15-20 ไร่

- การหว่านเมล็ดพันธุ์ ปล่อยน้ำแปลงกล้าให้แห้ง ทำเทือกให้ราบเรียบสม่ำเสมอ นำเมล็ดพันธุ์ที่เพาะงอกดีแล้วมาหว่านให้กระจายสม่ำเสมอตลอดแปลง ควรหว่านเมล็ดพันธุ์ตอนบ่ายหรือตอนเย็น เพื่อหลีกเลี่ยงแสงแดดตอนเที่ยงซึ่งมีความร้อนแรงมาก อาจทำให้เมล็ดข้าวตายได้

- การให้น้ำ ถ้าตกกล้าไม่มากนัก หลังจากหว่านเมล็ดพันธุ์แล้วหนึ่งวัน สาดน้ำรดให้กระจายทั่วแปลง ประมาณ 3-5 วัน กล้าจะสูงพอที่ไขน้ำเข้าท่วมแปลงได้ แต่ถ้าตกกล้ามาก ไม่สามารถที่จะสาดน้ำรดได้ ให้ปล่อยน้ำหล่อเลี้ยงระหว่างแปลงย่อย ประมาณ 3-5 วัน เมื่อต้นกล้าสูงจึงไขน้ำเข้าท่วมแปลง และค่อยเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ ตามความสูงของต้นกล้าจนน้ำท่วมผิวดินตลอด ให้หล่อเลี้ยงไว้ในระดับลึกประมาณ 5-10 เซนติเมตร จนกว่าจะถอนกล้าไปปักดำ

- การใส่ปุ๋ยเคมี ถ้าดินแปลงกล้ามีความอุดมสมบูรณ์สูง กล้างามดีก็ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย เพราะจะงามเกินไป ใบจะยาว ต้นอ่อน ทำให้ถอนแล้วต้นขาดง่ายและตั้งตัวได้ช้าเมื่อนำไปปักดำ แต่ถ้าดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ให้ใส่ปุ๋ยเคมีแอมโมเนียมฟอสเฟต (16-20-0) อัตราประมาณ 25-40 กิโลกรัมต่อไร่ โดยใส่หลังหว่านเมล็ดพันธุ์แล้วประมาณ 7 วัน หรือเมื่อสามารถไขน้ำเข้าท่วมแปลงได้แล้ว (ดูรายละเอียดในเรื่องการใส่ปุ๋ยแปลงกล้า)
- การดูแลรักษา ใช้สารป้องกันกำจัดโรคแมลงศัตรูข้าวตามความจำเป็น

การตกกล้าในสภาพดินแห้ง การตกกล้าโดยวิธีนี้ ควรกระทำเมื่อฝนไม่ตกตามปกติ และไม่มีน้ำเพียงพอที่จะทำเทือกเพื่อตกกล้าได้ แต่มีน้ำพอที่จะใช้รดแปลงกล้าได้ มีวิธีการปฏิบัติดังนี้

- การเตรียมดิน เลือกแปลงที่ดอนน้ำไม่ท่วม มีการระบายน้ำดี อยู่ใกล้แหล่งน้ำที่จะนำมารดแปลง ทำการไถดะตากดินให้แห้ง แล้วไถแปร คราดดินให้แตกละเอียด เก็บวัชพืชออก ปรับระดับดินให้ราบเรียบ

- การตกกล้า ทำได้ 2 แบบคือ

1. การหว่านข้าวแห้ง หว่านเมล็ดพันธุ์ลงในแปลงโดยตรง โดยไม่ต้องเพาะเมล็ดให้งอกก่อน ใช้อัตราเมล็ดพันธุ์เช่นเดียวกับการตกกล้าเทือก คือประมาณ 80-90 กิโลกรัมต่อไร่ แล้วคราดกลบเมล็ดพันธุ์ให้จมดินพอประมาณ อย่าให้จมมาก เพราะจะทำให้เมล็ดงอกช้าและโคนกล้าอยู่ลึกทำให้ถอนยาก

2. การหว่านข้าวงอก เพาะเมล็ดให้งอกขนาดตุ่มตา (วิธีการเพาะเช่นเดียวกับการตกกล้าเทือก) อัตราเมล็ดพันธุ์เช่นเดียวกับการหว่านข้าวแห้ง ควรหว่านตอนบ่ายหรือเย็น หว่านแล้วคราดกลบและรดน้ำให้ชุ่มทันทีหลังการหว่าน

การให้น้ำ แบบวิธีการหว่านข้าวแห้ง อาจหว่านทิ้งไว้คอยฝนได้ 7-10 วัน แต่ถ้ายังไม่มีฝนตกก็ให้รดน้ำให้ชุ่ม และต้องรดติดต่อกันทุกๆวัน โดยรดวันละ 3 ครั้ง เช่นเดียวกับวิธีหว่านข้าวแห้ง ทั้งแบบหว่านข้าวแห้ง และหว่านข้าวงอกเมื่อข้าวงอกโผล่พ้นดินประมาณ 1 เซนติเมตร หากมีน้ำพอก็ปล่อยน้ำเข้าหล่อร่องทางเดินให้เต็มร่อง เพื่อให้แปลงกล้าชุ่มทั่วกันแปลง จะได้ไม่ต้องรดน้ำทุกวัน ถ้ามีน้ำเพียงพอ ก็ไขน้ำเข้าท่วมแปลงแบบวิธีตกกล้าเทือกก็ได้ แต่หากไม่มีน้ำเพียงพอก็ต้องใช้วิธีรดน้ำให้ดินชุ่ม และอาศัยน้ำฝนจนกว่าจะถอนกล้าไปปักดำได้

การใสปุ๋ยเคมีและการดูแลรักษาปฏิบัติเช่นเดียวกับการตกกล้าเทือก

การตกกล้าใช้กับเครื่องปักดำข้าว เนื่องจากเครื่องปักดำข้าวมีหลากหลายยี่ห้อ และมีกรรมวิธีรายละเอียดแตกต่างกัน การตกกล้าเพื่อใช้กับเครื่องเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะมีคำแนะนำบอกมาพร้อมเครื่อง

การปักดำ
การปักดำควรทำเป็นแถวเป็นแนวซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการกำจัดวัชพืช การใส่ปุ๋ย การพ่นยากำจัดโรคแมลง และยังทำให้ข้าวแต่ละกอมีโอกาสไดรับอาหารและแสงแดดอย่างสม่ำเสมอกัน สำหรับระยะปักดำนั้นขึ้นกับชนิดและพันธุ์ข้าว ดังนี้

- พันธุ์ข้าวไม่ไวแสงหรือข้าวนาปรัง เช่นพันธุ์ สุพรรณบุรี1 ชัยนาท1 พิษณุโลก2 ควรใช้ระยะปักดำระหว่างแถวและระหว่างกอ 20x20 เซนติเมตร หรือ 20x25 เซนติเมตร

- พันธุ์ข้าวไวแสงหรือข้าวนาปี เช่น เหลืองประทิว123 ขาวดอกมะลิ105 กข15 กข6 ปทุมธานี60 ควรใช้ระยะปักดำ 25x25 เซนติเมตร

ปักดำจับละ 3-5 ต้น ปักดำลึกประมาณ 3-5 เซนติเมตร จะทำให้ข้าวแตกกอใหม่ได้เต็มที่

การปักดำลึกจะทำให้ข้าวตั้งตัวได้ช้าและแตกกอได้น้อย

ไม่ควรตัดใบกล้าเพราะการตัดใบกล้าจะทำให้เกิดแผลที่ใบ จะทำให้โรคเข้าทำลายได้ง่าย ควรตัดใบกรณีที่จำเป็นจริงๆ เช่น ใช้กล้าอายุมาก มีใบยาว ต้นสูง หรือมีลมแรง เมื่อปักดำแล้วจะทำให้ต้นข้าวล้ม

อายุกล้า การใช้กล้าอายุที่เหมาะสม จะทำให้ข้าวตั้งตัวเร็ว แตกกอได้มาก และให้ผลผลิตสูง อายุกล้าที่เหมาะสมสำหรับปักดำ ขึ้นอยู่กับชนิดและพันธุ์ข้าวดังนี้

- พันธุ์ข้าวไม่ไวต่อช่วงแสงหรือข้าวนาปรัง เช่นพันธุ์ สุพรรณบุรี1 ชัยนาท1 พิษณุโลก2 ควรใช้กล้าที่มีอายุประมาณ 20-25 วัน

- พันธุ์ข้าวไวต่อช่วงแสงหรือข้าวนาปี เช่น เหลืองประทิว123 ขาวดอกมะลิ105 กข15 กข6 ปทุมธานี60 ควรใช้กล้าที่มีอายุประมาณ 25-30 วัน

ระดับน้ำในการปักดำ ควรมีระดับน้ำในนาน้อยที่สุด เพียงแค่คลุมผิวดิน เพื่อป้องกันวัชพืชและประคองต้นข้าวไว้ไม่ให้ล้ม การควบคุมระดับน้ำหลังปักดำก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะระดับน้ำลึกจะทำให้ต้นข้าวแตกกอน้อย ซึ่งจะทำให้ผลผลิตต่ำ ควรควบคุมให้อยู่ในระดับลึกประมาณ 1 ฝ่ามือ (20 เซนติเมตร)


เราหวังว่า ทุกท่านได้ประโยชน์ที่อ่านบทความนี้ตามพอสมควร
ขอความกรุณาคลิ๊กปุ่ม +1 , ปุ่ม Like ,ปุ่ม Tweet และ แสดงความเห็น ให้เราด้วยนะครับ เพือปรับปรุงบทความต่อๆไป ขอบคุณครับ
อ้างอิง : http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

เรื่องน่ารู้ของปลาไหลเผือก



สมุนไพร ปลาไหลเผือก

เรื่องน่ารู้ของปลาไหลเผือก : สมุนไพรคู่ใจพรานไพร คู่กายของชายชาตรี ยาอายุวัฒนะ เสริมพลังชีวิต

ที่เรียกสมุนไพรชนิดนี้ว่า "ปลาไหลเผือก" เนื่องจากรากของสมุนไพรชนิดนี้มีลักษณะเหมือนปลาไหลเผือก คือมีสีขาวยาวๆ เหมือนปลาไหลเผือกและยังมีรากเดียว บางครั้งจึงมีคนเรียกว่า พญารากเดียว ซึ่งทางอีสานเรียก เอี่ยน ด่อน (ภาษาอีสานเรียกปลาไหลว่า เอี่ยน ส่วนด่อนภาษาอีสานหมายถึง เผือก) คนอีสานบางท้องที่เรียกปลาไหลเผือกว่า หยิกบ่ถอง ส่วนรากปลาไหลเผือกถ้ามีอายุหลายปี จะมีความยาวมาก บางครั้งยาวมากกว่าความสูงของคนเสียอีก จนทำให้บางท้องที่เรียกปลาไหลเผือกว่า ตรึงบาดาล

ปลาไหลเผือกเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง มีลำต้นสีแดง ในป่าดงดิบจะสูงประมาณ ๖-๑๕ เมตร แต่ในป่าเต็งรังสูงประมาณ ๑-๓ เมตร ไม่แตกกิ่งก้านทางด้านข้าง จะมีใบอยู่ตรงส่วนยอดของลำต้น ใบยาวประมาณ ๑ เมตร ใบนี้ประกอบด้วยใบย่อยจำนวนมาก ใบย่อยมีขนและรูปร่างเรียวแหลมหรือรูปไข่ ปลายเรียวแหลม ดอกสีแดงยาว ๑๐-๑๕ มิลลิเมตร มีทั้งดอกตัวผู้และดอกตัวเมียออกรวมกันเป็นช่อใหญ่ ดอกยาวขนาดใกล้เคียงกับความยาวของใบ ผลสีน้ำตาล รูปร่างคล้ายรูปไข่ ขนาดกว้าง ๕-๑๒ มิลลิเมตร ยาว ๑๐-๑๗ มิลลิเมตร

“หลากหลายตำนาน หลากหลายป่า ของ ปลาไหลเผือก

ปลาไหลเผือก
สมุนไพรที่ใช้เปรียบเสมือนไม้เท้าของท่านอาลี

…แสดงถึงความทรงพลังและความมีอายุยืน

ชาวไทยมุสลิมภาคใต้จะเรียกปลาไหลเผือกว่า ตงกัท อาลี (Tongkat Ali) ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับที่คนมาเลเซียเรียกกัน “ตงกัท” แปลว่าไม้เท้า “อาลี” คือ นักรบที่เก่งกล้า มีพละกำลังแข็งแกร่ง ในประวัติศาสตร์ของศาสนาอิสลาม ท่านอาลีรบเคียงข้างมากับท่านศาสดานบีมูฮำหมัด (ซ.ล) ดังนั้นชื่อ “ตงกัทอาลี” จึงมีความหมายถึงความทรงพลังและความมีอายุยืน จากการเรียกชื่อเช่นนั้นทำให้เชื่อกันว่า ปลาไหลเผือกเป็นสมุนไพรที่มีการใช้มานานนับพันปีแล้ว ชุมชนในสามจังหวัดภาคใต้ นิยมนำทั้ง “แก่นและราก” ของตงกัทอาลีมาต้มน้ำกินวันละ ๓-๔ ครั้งและก่อนนอน ถือเป็นยาโด๊บชั้นยอด สามารถบำรุงกำลังและบำรุงสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย แม้จะมีรสขมจัดก็ตาม นอกจากต้มกินแล้วบางคนยังใช้ทำเป็นชา ชงกินต่างใบชา เพื่อบำรุงกำลัง นอกจากจะใช้ประโยชน์ในการเป็นยาโด๊บแล้ว “ตงกัท อาลี” ยังใช้ต้มกินเพื่อป้องกันและรักษาไข้ป่า แก้ปวดเมื่อย แก้ปวดทั่วไป

ปลาไหลเผือก...สมุนไพรเพิ่มพลัง
ของพรานไพร และนายฮ้อย

พ่อสมจิต ตีเหล็ก ลูกชายหมอยา ปู่อ่ำ ตีเหล็ก จากจังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันพ่อสมจิตมีอายุ ๗๔ ปี พ่อเล่าว่าสมัยก่อนนายฮ้อย หรือผู้ต้อนฝูงควายตระเวนขายตามหมู่บ้านต่างๆ ทั่วประเทศไทย ต้องร่อนเร่ข้ามเขา ข้ามห้วย บางครั้งต้องเดินทางผ่านป่าผ่านดงเป็นเดือนๆ สมุนไพรบบำรุงกำลังที่คู่มากับการเดินทางไกลและยาวนานก็คือ ปลาไหลเผือก พวกนายฮ้อยจะใช้รากปลาไหลเผือกต้มน้ำดื่ม ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง อดทน คลายอาการปวดเมื่อย ป้องกันและรักษาอาการไข้ขึ้นระหว่างเดินทาง ทำให้แผลหายเร็วขึ้นด้วย และยังใช้รากปลาไหลเผือกผสมกับสมุนไพรโลดทะนงแดง ทารกวัวรกควายเพื่อเบื่อหมาในที่มักชอบมาขโมยลูกวัวลูกควายคลอดใหม่ นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการดื่มน้ำต้มรากปลาไหลเผือกนอกจากเพื่อบำรุงกำลังให้ข้ามเขาข้ามห้วยได้แล้ว ยังกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศ ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี บรรเทาอาการผื่นคันบริเวณผิวหนัง

ส่วนพ่อบุญมี ได้ฤกษ์ พรานไพรแห่งป่าเขาใหญ่ (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) เคยเล่าให้ฟังว่า ในการเดินป่านั้นจะขาดปลาไหลเผือกไม่ได้ เพราะปลาไหลเผือกต้มกินทำให้มีกำลังเดินป่าเดินเขา ใช้รักษาไข้ป่า เวลาที่ปวดท้องอย่างแรง (กระเพาะอาหารอักเสบเฉียบพลัน) ถ้าใช้ต้มกินหรือเคี้ยวกินทันทีอาการจะหายเป็นปลิดทิ้ง หรือถ้ามีอาการปวดท้องจากโรคกระเพาะก็ใช้ได้ผล และพ่อบุญมียังเล่าว่ารากปลาไหลเผือกใช้ในการรักษาตัดไข้ แก้พิษทุกชนิด เช่น พิษแมลงสัตว์กัดต่อย พิษฝี ทั้งฝีภายใน ฝีภายนอก และพุพอง พรานสมัยก่อนจึงมักจะมีรากปลาไหลเผือกตากแห้งติดตัวติดบ้านไว้เสมอ

ปลาไหลเผือก…หยิกบ่ถอง
ทำให้หนังเหนียวครา…ออกรบ

ตาส่วน สีมะพริก และคุณบุญล้วน จันทร์นวล เล่าตรงกันว่า ในสมัยก่อนคนที่ออกรบจะต้องพกปลาไหลเผือกติดตัวไปด้วย ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ก่อนเข้าสู่สนามรบให้นำมาเคี้ยวกินจะทำให้อยู่ยงคงกะพัน มีเรี่ยวแรงในการรบ ปลาไหลเผือก จึงได้ชื่อว่า หยิกบ่ถอง อีเฒ่าหนังหยาน ซึ่งมีความหมายของความเป็นคนหนังเหนียว ผิวหนังไม่มีความรู้สึกใดๆ แต่การจะเอารากปลาไหลเผือกมาใช้ต้องทำพิธีขอ แล้วจึงขุดรากขึ้นมา เมื่อขุดรากขึ้นมาเรียบร้อยก็ต้องทำพิธีปลุกเสกอีกครั้ง ถึงจะนำมาใช้ได้ เชื่อว่าเมื่อเคี้ยวกินหรือฝนกิน จะทำให้หนังเหนียวมีพละกำลังมากขึ้น

เป็นที่น่าแปลกใจว่า การศึกษาวิจัยสมัยใหม่พบว่าปลาไหลเผือกมีสรรพคุณในการเพิ่มความแข็งแรงของนักกีฬาได้อย่างชัดเจนด้วย

ปลาไหลเผือก…ขมสามดอย ยาดีของไทยใหญ่

มีครั้งหนึ่งเมื่อต้องเดินป่าไปเก็บยาสมุนไพรกับหมอยาไทยใหญ่ ที่ตำบลเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ พ่อหมอยาได้พาเดินไต่เขาไปสองสันเขา เพื่อไปดูยาสมุนไพรต้นที่มีชื่อว่า ขมสามดอย อันมีความหมายถึงเดินขาลากไปสามดอยแล้วยังไม่หายขม หรือทำให้มีกำลังเดินได้ถึงสามดอยก็ได้ เจอต้นขมสามดอยของไทยใหญ่ก็เป็นต้นเดียวกับปลาไหลเผือกที่คุ้นเคยอยู่แล้ว พ่อหมอยังบอกอีกว่า รากปลาไหลเผือกต้มกินแก้ไข้หนาวสั่น (ซึ่งน่าจะเป็นไข้มาลาเรีย) จะใช้เฉพาะตัวมันตัวเดียวหรือต้มรวมกับงูเห่าเหลือง (เถางูเห่า) ก็ได้ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าใช้รากปลาไหลเผือกต้มกิน ทำให้หนังเหนียว คงกะพัน บำรุงกำลังอย่างยอด

ปลาไหลเผือก …ยาล้างพิษยาเสพติด

ปลาไหลเผือกค่อยๆ ถูกลืมไปพร้อมกับการพัฒนาโรงพยาบาลสมัยใหม่ แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีวัดวาอารามหลายแห่งประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้านในการรักษายาเสพติด โดยนำสมุนไพรแก้พิษของหมอยาโบราณมาใช้ในการดูแลผู้ป่วย สมุนไพรที่นำกลับมาใช้ใหม่ มาในนามของยาสามรากอันประกอบด้วย รากปลาไหลเผือก รากโลดทะนงแดง ต้นฮังฮ้อน โดยโลดทะนงแดง (นางแซง) มีสรรพคุณ ถอนพิษยาเบื่อเมา ทำให้อาเจียน ทำให้ถ่าย ปลาไหลเผือก (พญารากเดียว) มีสรรพคุณ แก้ไข้ ถ่ายพิษ บำรุงกำลัง ฮังฮ้อน (พญารากไฟ) แก้เลือดไม่เดิน ทำให้เลือดเดินสะดวก ทั้งสามอย่างนี้ใช้แก้อาการลงแดงจากยาเสพติด เอายาสามรากฝนกับน้ำมะนาวกินก่อนอาหาร เช้า-เย็น หรือต้มน้ำดื่มก็ได้ ปลาไหลเผือก…จึงได้รับการพูดถึงอีกครั้งหนึ่ง

แต่เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวคราวการจดสิทธิบัตรสมุนไพรที่มีอยู่ในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ในการเป็นยาเพิ่มสมรรถภาพของเพศชายในประเทศสหรัฐอเมริกา… “ปลาไหลเผือก

ปลาไหลเผือก…RETURN!
การศึกษาวิจัยสมัยใหม่

สารสกัดรากปลาไหลเผือกทำให้เกิดการตื่นตัวทางเพศ ทำให้มีความคงทนในการมีเพศสัมพันธ์ได้นานขึ้น

จากความเชื่อของคนพื้นเมืองในประเทศที่มีสมุนไพรปลาไหลเผือกอยู่ เชื่อว่าสมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณในการเป็นยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งมีการศึกษาทั้งในหนูสูงอายุ หนูอายุปานกลาง หนูหนุ่มที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ พบว่า กลุ่มที่ได้รับสารสกัดรากปลาไหลเผือกถูกปลุกเร้าทางเพศและมีความคงทนในการมีเพศสัมพันธ์ได้ดีกว่าหนูกลุ่มควบคุม ซึ่งการศึกษาดังกล่าวสนับสนุนการใช้ประโยชน์ของคนพื้นเมืองเหล่านั้น แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีการศึกษาในคนถึงประสิทธิผลของสมุนไพรชนิดนี้

สารที่มีรสขมในรากปลาไหลเผือกคือ Eurycomalactone, Eurycomanol และ Eurycomanone ทั้งสามชนิดมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อมาเลเรียฟาลซิปาลัม (Plasmodium falciparum) ในหลอดทดลอง

จากการใช้ของหมอยาพื้นบ้านที่ใช้รากปลาไหลเผือกต้มกินแก้มาลาเรีย และในการศึกษาทดลองหลายการศึกษาพบว่า สารสกัดจากรากปลาไหลเผือกมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อมาลาเรียในหลอดทดลอง ซึ่งสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากปลาไหลเผือกของคนพื้นเมือง ซึ่งต้องมีการหาขนาดที่เหมาะสมและปลอดภัยที่จะใช้ในคนต่อไป

สารสกัดรากปลาไหลเผือกมีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง ต้านเชื้อ HIV

ในการตรวจสอบเบื้องต้น(Screening Test) สำหรับฤทธิ์การต้านมะเร็งพบว่า สารสกัดปลาไหลเผือกเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งปอด (Human lung cancer (A-549) cell lines) เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งเต้านม (human breast cancer (MCF-7) cell lines) นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อ HIV อีกด้วย

สารสกัดรากปลาไหลเผือกมีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone)

มีการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดจากรากปลาไหลเผือกกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเพศชายซึ่งนำไปสู่การจดสิทธิบัตรสารเคมีและวิธีการสกัด โดยมีสรรพคุณในการเพิ่มกล้ามเนื้อและความแข็งแรงของนักกีฬา

สารสกัดสมุนไพรปลาไหลเผือกได้รับการจดสิทธิบัตรสหรัฐอเมริกา

จดสิทธิบัตรส่วนประกอบของสารสกัดจากพืชในการรักษาอาการหัวล้านในเพศชาย (Male pattern baldness) ในปี ๒๐๐๓ (พ.ศ. ๒๕๔๖)

จดสิทธิบัตรเป็นยาทาภายนอกในลักษณะ Topical home opathic composition ในการเพิ่มระดับของฮอร์โมนเพศชาย Testosterone และฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต (Growth hormone) ในปี ๒๐๐๓ (พ.ศ. ๒๕๔๖)

จดสิทธิบัตรสารเคมีที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเพศชาย ในปี ๒๐๐๔ (พ.ศ. ๒๕๔๗)

จดสิทธิบัตรส่วนประกอบและวิธีการในการเพิ่มกล้ามเนื้อและความแข็งแรง เพิ่มสมรรถภาพของนักกีฬา ลดไขมันและนำไปสู่การลดน้ำหนักในปี ๒๐๐๖ (พ.ศ. ๒๕๔๙)

จดสิทธิบัตรในการเป็นยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศในรูปแบบของยาเม็ดและยาแคปซูล ในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยมีส่วนประกอบของสารสกัดปลาไหลเผือกร่วมกับตัวอื่น ในปี ๒๐๐๖ (พ.ศ. ๒๕๔๙)

จดสิทธิบัตรการปรับระดับฮอร์โมนเพศชาย (Systemic androgen) ด้วยการใช้ปลาไหลเผือก ในปี ๒๐๐๗(พ.ศ. ๒๕๕๐)

เป็นที่น่าดีใจที่ปลาไหลเผือกที่หมอยาไทยเคยใช้อย่างแพร่หลาย ได้รับการจดสิทธิบัตรในประเทศสหรัฐอเมริกา…แต่น่าเสียใจตรงที่ว่าคนที่จดนั้นไม่ใช่คนไทยหรือบริษัทของคนไทย… ขอชื่นชม “มาเลเซีย” ที่มีการศึกษาวิจัยจากภูมิปัญญาพื้นบ้านจนนำไปสู่การจดสิทธิบัตรและการพัฒนาผลิตภัณฑ์

การใช้ในรูปแบบของผลิตภัณฑ์

มีผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของผงรากปลาไหลเผือกบรรจุในแคปซูลขนาด ๔๐๐ มิลลิกรัม เพื่อใช้เป็นอาหารเสริม ในการบำรุงสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งแนะนำให้กินตอนเช้าก่อนอาหาร ในการใช้ระยะยาวให้กิน ๒ วัน หยุด ๒ วัน หรือวันเว้นวัน หรือทุก ๓ วัน ซึ่งประสิทธิภาพขึ้นกับอายุ กลไกของร่างกาย บางคนอาจใช้ขนาดที่ต่ำกว่า ซึ่งผู้ผลิตมักจะแนะนำให้ใช้ในขนาดที่ต่ำๆ ก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง

ข้อควรระวังในการใช้

มีการศึกษาถึงพิษเฉียบพลัน โดยกองวิจัยการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ไม่พบความเป็นพิษ

หมอยาพื้นบ้านรู้ว่าสมุนไพรชนิดนี้เป็นสมุนไพรที่มีพิษเบื่อเมาด้วย ดังนั้นจึงต้องระวังในการใช้เป็นยารับประทาน สำหรับบางคนเมื่อรับประทานอาจจะมีอาการปวดเมื่อย วิงเวียน หรือมีไข้อ่อนๆ แก้ไขโดยการหยุดรับประทานแล้วดื่มน้ำเยอะๆ จนกว่าอาการจะหายไป ทางที่ดีควรเริ่มรับประทานในปริมาณน้อยๆ ก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณตามคำแนะนำ

ไม่ควรดองเหล้าแม้ว่าจะมีหลายพื้นที่ใช้ดองเหล้ารับประทานเพื่อเป็นยาบำรุงกำลังเพราะมีสารอัลคาลอยด์ที่ละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ที่เป็นพิษอยู่

ในการใช้เป็นยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศไม่ควรรับประทานผงยาเกิน ๑ กรัมต่อวัน และไม่ใช้ติดต่อกันนานเกิน ๑ เดือน ซึ่งควรใช้และหยุด ในระยะเวลาเท่าๆ กัน

การใช้ในปริมาณสูงและติดต่อกันนานอาจเกิดผลข้างเคียงของแอนโดรเจน คือทำให้ต่อมลูกหมากโตและทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ

ปลาไหลเผือกพบได้ทั่วไป ทั่วทุกภาคในประเทศไทย และพบในพม่า ลาว เขมร มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บอร์เนียว อินโดนีเซีย ซึ่งคนพื้นเมืองในประเทศเหล่านี้ใช้ปลาไหลเผือกในการเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ แก้ไข้มาเลเลีย แก้ไข้เรื้อรัง แก้ปวด แก้ฝี แก้แผลเรื้อรัง แก้บวม แก้บิด แก้ปวดท้อง เป็นต้น ”



เราหวังว่า ทุกท่านได้ประโยชน์ที่อ่านบทความนี้ตามพอสมควร
ขอความกรุณาคลิ๊กปุ่ม +1 , ปุ่ม Like ,ปุ่ม Tweet และ แสดงความเห็น ให้เราด้วยนะครับ เพือปรับปรุงบทความต่อๆไป ขอบคุณครับ

อ้างอิง : http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

ต้นสนฉัตร์



สนฉัตร์

ชื่อสามัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
ตระกูล
Nolfolk island pine
Aruacaria heterophylla.
ARUCARIACEAE

ลักษณะทั่วไป

สนฉัตร์ เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 5-15 เมตร ผิวเปลือกลำต้นสีน้ำตาล ลำต้นมีตุ่มเล็ก ๆ

ขึ้นรอบต้น ลำต้นกลมทรงพุ่มโปร่ง และมีเกล็๋ดใบเล็ก ๆ ออกตามต้นส่วนยอดการเจริญแตกกิ่งก้านเป็นชั้นๆออกไปตาม แนวนอน ส่วนลำต้นขึ้นตรงไปใบเป็นใบกระกอบออกตามกิ่งก้านเป็นเกล็ด มีลักษณะเป็นขนสั้นเล็กมีสีเขียว เรียงตัวกันแน่น

การเป็นมงคล

คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นสนฉัตรไว้ประจำบ้าน จะทำให้เกิดความสนใจจากบุคคลทั่วไป เพราะ สน คือการสนใจ เห็นใจ ในสิ่งที่ดีงามนอกจากนี้ยังทำให้มีเกียรติและความสง่า เพราะ สนฉัตร มีทรงพุ่มลักษณะคล้ายเครื่องสูงที่ใช้ในพิธแห่เกียรติยศ และลักษณะการเจริญของลำต้นกิ่งก้านเด่นชัด ตระหว่านงาม

ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก

เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นสนฉัตรไว้ทางทิศเหนือผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาคุณทั่วไปให้ปลูกในวันเสาร์ ถ้าจะให้เป็ฯมงคลมากยิ่งขึ้น ผู้ปลูกควรเป็นผู้ใหญ่ที่ควรเคารพนับถือ และเป็นผู้ประกอบคุณงามความดีก็จะเป็นสิริมงคลยิ่งนัก

การปลูกมี 2 วิธี

1 .การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน ขนาดหลุมปลูก 50 x 50 x 50 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 : 2 ผสมดินปลูก

2. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคาร นิยมใช้กับต้นสนฉัตรอายุระหว่าง 1-3 ป การปลูกควรใช้กระถางทรงสูง ขนาด12-18 นิ้วใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก:แกลบผุ:ดินร่วนอัตรา 1:1:1 ผสมดินปลูกควรเปลี่ยนกระถางแล้วแต่ความเหมาะ สมของทรงพุ่ม ถ้าต้นสนฉัตรมีอาจุมากกว่า 5 ป ขึ้นไป เหมาะที่จะปลูกในแปลงปลูกเพราะทรงพุ่มโตขึ้น

การดูแลรักษา
แสง
น้ำ
ดิน
ปุ๋ย
การขยายพันธ์
โรค
ศัตรู
อาการ
การป้องกัน
การกำจัด
ต้องการแสงแดดปานกลาง จนถึงแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง
ต้องการปริมาณน้ำมาก ควรให้น้ำ 3-5 วัน/ครั้ง
ชอบดินร่วนซุย มีความชื้นสูง
ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ปีละ 3-5 ครั้ง
การปักชำ การเพาะเมล็ด วิธีที่นิยมและได้ผลดี คือ การเพาะเมล็ด
โรครากเน่า
ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องศัตรู เพราะเป็นไม้ที่ทนทานต่อการทำลายของศัตรูพอสมควร
ใบซีดเหลือง ร่วง และแห้งตาย เกิดบริเวณปลายกิ่ง
ควบคุมการให้น้ำ และความชื้นในดินที่เหมาะสม
ใช้ยาแคปแทน ไซแนบ อัตราและคำแนะนำระบุไว้ตามฉลาก



เราหวังว่า เกษตรทุกท่านได้ประโยชน์ที่อ่านบทความนี้ตามพอสมควร
ขอความกรุณาคลิ๊กปุ่ม +1 , ปุ่ม Like ,ปุ่ม Tweet และ แสดงความเห็น ให้เราด้วยนะครับ เพือปรับปรุงบทความต่อๆไป ขอบคุณครับ
อ้างอิง : www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00767

เคล็ดลับสำหรับการปลูกเมล็ดวิธีที่ถูกต้อง

เคล็ดลับการปลูกเมล็ดพันธุ์พืช -- เคล็ดลับสำหรับการปลูกเมล็ดวิธีที่ถูกต้อง?

ความน่าเชื่อถือใด ๆ เมล็ด บ้านสามารถขึ้นอยู่กับความสำหรับเมล็ดพันธุ์ที่ดี แต่แม้ดังนั้นมีความเสี่ยงที่ดีในเมล็ด เมล็ดพันธุ์อาจไปปรากฏตัวทั้งหมดจะถูกต้องและยังไม่ได้มีอยู่ภายในพลังเพียงพอหรือพลังงานในการผลิตที่บึกบึน พืช

ถ้าคุณบันทึกจากพืชเมล็ดของคุณเองคุณสามารถที่จะเลือกอย่างระมัดระวัง สมมติว่าคุณจะประหยัดเมล็ดพันธุ์ของพืชดอกแอสเตอร์ อะไร บุปผา คุณจะต้องตัดสินใจ? ตอนนี้มันไม่ได้เป็นดอกเดียวที่คุณจะต้องพิจารณา แต่พืชทั้งหมด ทำไม? เพราะอ่อนแออย่างพลัดพรากพืชอาจผลิตดอกหนึ่งที่ดี กำลังมองหาที่ที่หนึ่งที่บานสะพรั่งสวยงามดังนั้นจริงๆคุณคิดว่าของพืชที่น่ารักอย่างเท่าเทียมกันนับไม่ถ้วนที่คุณจะได้จากเมล็ดที่ แต่ก็เป็นแนวโน้มที่จะเป็นเมล็ดไม่ได้ที่จะผลิตพืชเช่นพืชที่ผู้ปกครอง

ดังนั้นในการเลือกเมล็ดพันธุ์พืชทั้งหมดจะได้รับการพิจารณา มันเป็นความทนทานแข็งแรงดีและมีรูปทรงสมมาตร; ไม่ได้มีจำนวนของบุปผางามดี? เหล่านี้เป็นคำถามที่จะถามในการเลือกเมล็ดพันธุ์

หากคุณควรจะเกิดขึ้นจะได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมสวนของคนขายเมล็ดพันธุ์ที่คุณจะเห็นที่นี่และมีดอกด้วยสตริงที่ผูกรอบมันเป็น เหล่านี้เป็นบุปผาเลือกสำหรับเมล็ดพันธุ์ ถ้าคุณดูที่โรงงานทั้งหมดที่มีการดูแลที่คุณจะสามารถเห็นจุดที่สวนที่จัดขึ้นในใจเมื่อเขาได้ทำงานของเขาในการเลือก

ในขนาดที่เลือกเมล็ดชี้ไปที่ค้างในใจอีกคือ ตอนนี้เรารู้วิธีที่ไม่มีการบอกอะไรเกี่ยวกับพืชที่ได้จากที่นี้คอลเลกชันพิเศษของเมล็ดมา ดังนั้นเราต้องให้ความคิดทั้งหมดของเราเพื่อให้เมล็ดพันธุ์ของตัวเอง มันค่อนข้างชัดว่ามีทางเลือกบางอย่าง; บางคนมีขนาดใหญ่กว่าคนอื่น ๆ ; บาง plumper ไกลเกินไป โดยทั้งหมดหมายความว่าการเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดและอย่างเต็มที่ เหตุผลก็คือการนี??้เมื่อคุณตัดเปิดถั่วและนี้เป็นที่เห็นได้ชัดมากเกินไปในถั่วลิสงที่คุณเห็นสิ่งที่ปรากฏจะเป็นพืชเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังนั้นจึงเป็น ภายใต้เงื่อนไขเพียงที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนานี้'น้อยแตก'เติบโตขึ้นในต้นถั่วที่คุณรู้จักเป็นอย่างดี

โรงงานเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ต้องขึ้นอยู่กับการเจริญเติบโตในช่วงต้นของมันในการบำรุงรักษาเก็บไว้ในที่สองครึ่งหนึ่งของเมล็ดพันธุ์ถั่ว เพื่อวัตถุประสงค์นี้ อาหาร จะถูกเก็บไว้ ถั่วจะไม่เต็มรูปแบบของอาหารและความดีงามสำหรับคุณและฉันจะกิน แต่ของต้นถั่วทารกน้อยที่จะเลี้ยงเมื่อ และดังนั้นหากเราเลือกเมล็ดพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ที่เราได้เลือกจำนวนมากของอาหารสำหรับ plantlet นี้ plantlet น้อยฟีดเมื่ออาหารที่เก็บไว้นี้จนกว่าจะมีรากของมันกำลังเตรียมที่จะทำงานของพวกเขา ดังนั้นหากเมล็ดพันธุ์ที่มีขนาดเล็กและบางแหล่งอาหารครั้งแรกไม่เพียงพอมีความเป็นไปได้ของการสูญเสียของโรงงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็น

คุณอาจสนใจที่จะทราบชื่อของห้องครัวของอาหารนี้ มันถูกเรียกว่าใบเลี้ยงหากมี แต่ส่วนหนึ่ง, cotyledons ถ้าสอง ดังนั้นเราจะช่วยในการจำแนกประเภทของพืช พืชบางที่แบกกรวยเช่นต้นสนที่มีหลาย cotyledons แต่พืชส่วนใหญ่จะมีหนึ่งหรือสอง cotyledons

จากเมล็ดขนาดใหญ่ที่ต้นกล้าที่แข็งแกร่งมา นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมันเป็นดีกว่าและปลอดภัยในการเลือกเมล็ดพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ มันเป็นกรณีเดียวกันว่าเป็นของเด็กที่อ่อนแอ

มักจะมีปัญหาอื่นที่อยู่ในเมล็ดที่เราซื้อ ปัญหาคือสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ เมล็ดจะผสมกับเมล็ดบางครั้งอื่น ๆ เช่นพวกเขาในลักษณะที่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจสอบการทุจริต ธุรกิจสวยดีก็ไม่ได้? เมล็ดอาจจะไม่สะอาด บิตของต่างประเทศในเรื่องที่มีเมล็ดขนาดใหญ่ได้ง่ายมากที่จะค้นพบ เพียงหนึ่งสามารถเลือกเมล็ดพันธุ์ที่มากกว่าและทำให้มันสะอาด โดยการทำความสะอาดจะหมายถึงอิสระจากสิ่งแปลกปลอม แต่ถ้าเมล็ดขนาดเล็กที่มีมลทินก็เป็นเรื่องยากมากที่ดีเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พวกเขาทำความสะอาด

สิ่งที่สามที่จะดูออกในเมล็ดจะมีชีวิต เรารู้จากทดสอบของเราว่าเมล็ดที่มองไปที่ตาจะเป็นสิทธิทั้งหมดที่ไม่อาจพัฒนาได้ทั้งหมด มีเหตุผลที่จะ เมล็ดอาจได้รับเลือกก่อนที่จะถูกสุกหรือผู้ใหญ่พวกเขาอาจได้รับการแช่แข็งและพวกเขาอาจจะเก่าเกินไป รักษาเมล็ดพันธุ์พืชหรือเชื้อโรคมีชีวิตพลังงานการพัฒนาของพวกเขาเป็นตัวเลขที่กำหนดของปีที่แล้วและมีประโยชน์ มีการ จำกัด การเติบโตในปีที่แตกต่างสำหรับเมล็ดพันธุ์ที่แตกต่างกัน

จากการทดสอบของเมล็ดพันธุ์ที่เราหาเปอร์เซ็นต์การงอกของเมล็ด ตอนนี้ถ้าเปอร์เซ็นต์นี้จะต่ำไม่ต้องเสียเวลาการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ดังกล่าวเว้นแต่จะเป็นเมล็ดเล็ก ทันทีที่คุณคำถามคำสั่งที่ ขนาดของเมล็ดพันธุ์ที่ไม่สร้างความแตกต่างทำไม? นี่คือเหตุผลที่ เมื่อเมล็ดเล็กจะปลูกหว่านมันเป็นปกติในการฝึกซ้อม มือสมัครเล่นส่วนใหญ่จะโรยเมล็ดในหนาแน่นมาก ดังนั้นปริมาณของเมล็ดพันธุ์ที่ดีจะปลูก และเมล็ดพอ germinates และมาจากการปลูกใกล้ชิดเช่น ดังนั้นปริมาณที่ทำให้ขึ้นที่มีคุณภาพ

แต่จะใช้กรณีของเมล็ดขนาดใหญ่เช่นข้าวโพดตัวอย่างเช่น ข้าวโพดจะปลูกเพียงเพื่อให้ห่างไกลและมีเพียงไม่กี่เมล็ดในสถานที่ ด้วยเช่นวิธีการในการเพาะปลูกสำคัญของร้อยละของการงอกเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดอย่างแน่นอน

เมล็ดขนาดเล็กที่งอกที่ร้อยละห้าสิบ อาจจะใช้ แต่นี้ต่ำเกินไปร้อยละ สำหรับเมล็ดพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ สมมติว่าเราทดสอบ ถั่ว ร้อยละเจ็ดสิบคือ หากเมล็ดต่ำ - พลังปลูกเราไม่อาจจะเป็นบางอย่างจากร้อยละเจ็ดสิบขึ้นมา แต่ถ้าเมล็ดที่มีผักกาดหอมไปข้างหน้ากับการปลูก


เราหวังว่า ทุกท่านได้ประโยชน์ที่อ่านบทความนี้ตามพอสมควร
ขอความกรุณา แสดงความเห็น ให้เราด้วยนะครับ เพือปรับปรุงบทความต่อๆไป ขอบคุณครับ
อ้างอิง : http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

เรื่องน่ารู้ของเดือย : ธัญพืชเพื่อสุขภาพ ขับปัสสาวะ ต้านมะเร็ง รักษาหูด

สมุนไพรเดือย

เรื่องน่ารู้ของเดือย : ธัญพืชเพื่อสุขภาพ ขับปัสสาวะ ต้านมะเร็ง รักษาหูด

ในสมัยเด็ก เคยเห็นต้นเดือยอยู่หนึ่งกอที่ข้างบ่อน้ำหลังบ้าน เมล็ดลูกเดือยลักษณะเหมือนหยดน้ำ เปลือกแข็งๆ มีไส้ตรงกลาง เวลาดึงออกจะเป็นรูให้เด็กน้อยร้อยเป็นสายสร้อยใส่ได้อย่างดี มันดูสวยงามยิ่งนักในความรู้สึกของเด็กๆ ในงานบุญที่วัดตอนออกพรรษา ยังเห็นพวกผู้ใหญ่เอาลูกเดือยมาร้อยเป็นพวงระย้า ตกแต่ง แวววาว ประดับประดาปนกับดอกไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ต่างๆ ดูสวยงามราวกับการเฉลิมฉลองการกลับมาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากสรวงสวรรค์จริงๆ

ตอนนั้นรู้ว่าลูกเดือยกินได้เพราะพวกผู้ใหญ่เอามาทำขนมลูกเดือยเปียกให้กิน ผู้ใหญ่มักบอกว่ากินลูกเดือยแล้วมันเป็นยา จึงพยายามกัดแทะเจ้าลูกเดือยหินหลังบ้านกินบ้างแต่ก็กัดไม่เข้าเพราะเปลือกมันแข็งมาก พอโตขึ้นจึงรู้ว่าลูกเดือยมีสองชนิด ชนิดที่มีเปลือกผลแข็งชาวบ้านมักเรียก เดือยหิน เป็นชนิดที่กินไม่ได้ แต่ชาวบ้านนิยมปลูกไว้เพื่อเป็นยาและไว้ทำสายสร้อย ชาวเขาพวกกะเหรี่ยงแม้วยังปลูกไว้ทำเป็นลูกปัดประดับกระเป๋า ย่าม เสื้อ เป็นต้น และอีกชนิดที่มีเปลือกผลอ่อนนั้นกินได้ ชาวบ้านเรียก เดือยกิน หรือ เดือย เฉยๆ ซึ่งมีการปลูกเพื่อใช้ทำเป็นอาหารและทำยาได้เช่นกัน

การที่เจ้า เดือยหิน มีเปลือกแข็งกินไม่ได้นั้นกระมัง จึงทำให้ตอนนี้เดือยหินได้หายไปจากหมู่บ้านจนไม่มีเหลือเลยสักกอ ทั้งที่แต่ก่อนมีอยู่ตั้งหลายกอ สายสร้อยมุกแสนสวยของเด็กน้อยเลยหายไปด้วย ในงานวัดจึงเหลือแต่สายสร้อยพลาสติกสีฉูดฉาดตามตลาดมาแขวนแทน ใครจะรู้บ้างนะว่าคนโบราณเชื่อว่า ถ้าสวมสายสร้อยที่ร้อยด้วยลูกเดือยแล้วจะทำให้ “โชคดี”

ส่วนเดือยกินนั้นไม่เคยมีในหมู่บ้านอยู่แล้ว ถ้าอยากทำขนมก็จะไปหาซื้อมาจากตลาด เจ้าเดือยกินนั้นอาการไม่น่าเป็นห่วงเพราะยังมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ ยังใช้ทำอาหารหวานกินกันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งทำได้หลากหลายแบบโดยต้องทำให้สุกก่อนเช่น ทำลูกเดือยเปียก ลูกเดือยใส่กะทิ ใส่น้ำแข็งไส ใส่น้ำเต้าหู้ น้ำเต้าทึง เป็นต้น

เดือย… ยาขับปัสสาวะ รักษาระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าอีกสี่สิบปีภายหลัง ได้มีโอกาสเจอเจ้า เดือยหิน อีกครั้ง เนื่องจากตัวเองป่วยเป็นโรคระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ คุณแม่ของเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ซึ่งอยู่ที่บ้านชุมชนไทยพวน ตำบลบ้านดงกระทงยาม อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรีได้ฝากยาต้มมาให้ ยาต้มที่ว่านี้ประกอบด้วยตัวยา ๓ อย่างคือ เดือยหินทั้ง ๕ หญ้าหนวดแมว ซาคนที (คนทีสอ) ต้มเคี่ยวเข้าด้วยกัน หลังจากกินยาตำรับนี้แล้วอาการดีขึ้น ยาตำรับนี้เป็นตำรับประจำของคุณยายอายุ ๘๔ ปี ซึ่งมีอาการปัสสาวะไม่ออก ปวดปัสสาวะแต่ปัสสาวะออกนิดเดียว ซึ่งคุณยายมักมีอาการนี้เป็นประจำ ทางบ้านจึงมีตำรับนี้ไว้ให้คุณยายใช้เมื่อมีอาการและได้ทราบว่าในชุมชนไทยพวนที่บ้านดงกระทงยาม และอีกหลายบ้านปลูกเดือยหินไว้เพื่อใช้เป็นยาขับปัสสาวะ (รักษาอาการหลังเวลาปัสสาวะแล้วยังรู้สึกปวดปัสสาวะอยู่ หรือมีอาการปวดปัสสาวะแต่ปัสสาวะเป็นหยด ปัสสาวะไม่ออก ที่ทางการแพทย์แผนใหม่จะเรียกโรคและอาการนี้ว่า “ระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ”)

นอกจากใช้เป็นยาขับปัสสาวะแล้ว หมอยาในหลายพื้นที่ยังนิยมใช้รากเดือยต้มกินแก้ปวด แก้ไข้ แก้ไอ อีกด้วย

พืชตระกูลข้าวส่วนใหญ่แล้วจะมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ เดือยก็เช่นกัน โดยมากฤทธิ์จะอยู่ที่ราก วิธีใช้ให้เอาทั้ง ๕ ต้มกินเป็นยาขับปัสสาวะ จะใช้เป็นเดือยตัวเดียวหรือใช้ร่วมกับสมุนไพรที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะตัวอื่นก็ได้ การที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะนั้น นอกจากจะเป็นประโยชน์ในการรักษาระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบแล้ว ยังช่วย “ลดอาการบวมน้ำ ลดความดัน” ได้ด้วย

ลูกเดือย…สุดยอดธัญพืชเพื่อสุขภาพ สมุนไพรต้านมะเร็ง

ในอดีตคนจีนนิยมใช้ลูกเดือยผสมกับข้าวต้มรับประทาน เพื่อบำรุงกำลัง หล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้บวมน้ำ ปวดข้อเรื้อรัง บำรุงม้ามและปอด แก้ท้องเสีย แก้เหน็บชา ทำให้ผิวสวย แก้ร้อนใน และยังช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็ง ลูกเดือยให้พลังงานแก่ร่างกายสูงจึงมีสรรพคุณในการบำรุงกำลัง ที่สำคัญคือมีวิตามินบีหนึ่งมากกว่าข้าวกล้อง การที่มีวิตามินบีหนึ่งสูงนี่เองทำให้ลูกเดือยช่วย “แก้เหน็บชา” ตามความเชื่อของชาวจีนได้

เดือยเป็นอาหารสมุนไพรที่ “เหมาะกับผู้หญิง” อย่างยิ่ง คนสมัยก่อนเชื่อว่ากินลูกเดือยทำให้ผิวสวย ผมสวย บำรุงมดลูก การศึกษาสมัยใหม่พบว่าสารสกัดด้วยน้ำหรือตัวทำละลายอินทรีย์ จากรากหรือเมล็ดเดือยมีฤทธิ์ทำให้การหมุนเวียนของเลือดที่ผิวหนังดีขึ้น ทำให้เส้นผมเจริญดีขึ้น ทั้งยังมีการศึกษาพบว่าสารสกัดของลูกเดือยมีผลกระตุ้นการเจริญของ ovarian follicle และกระตุ้นให้ไข่ตก

นอกจากนี้เดือยยังเป็นส่วนประกอบหนึ่งใน น้ำอาร์ซี เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพยอดฮิตของผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยบำรุงร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีย ช่วยให้กินอาหารได้ นอนหลับ ป้องกันโรคเหน็บชา โดยน้ำอาร์ซีนั้นประกอบด้วยข้าว ๙ ชนิด มีข้าวซ้อมมือ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เล่ย์ ข้าวฟ่าง ข้าวโอ๊ต เป็นต้น ข้าวทั้ง ๙ ชนิดนี้จะเอามาต้มรวมกัน โดยใส่เม็ดบัวและลูกเดือยเข้าไปด้วย เมื่อข้าวต่างๆ นอนก้นแล้วจึงตักน้ำใสๆ มาดื่มขณะที่ยังร้อน น้ำใสๆ นั้นเรียกว่า “น้ำอาร์ซี” ซึ่งจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่าสาร coixenolide ในเมล็ดเดือย มีสรรพคุณในการยับยั้งการเจริญของเนื้องอก เพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ดังนั้น น้ำลูกเดือย หรือน้ำที่มีลูกเดือยเป็นส่วนประกอบอย่างเช่น น้ำอาร์ซีนั้น จึงเหมาะที่จะเป็นเครื่องดื่มของผู้ป่วยมะเร็งอย่างยิ่ง

น้ำอาร์ซี (RC, rejuvenating concoction) มาจากคำที่ คุณสาทิส อินทรกำแหง ต้นตำรับแนวคิด “ชีวจิต” ให้บัญญัติคำนี้ขึ้นมาแปลเป็นไทยได้ว่า “ส่วนผสมเพื่อเพิ่มความกระชุ่มกระชวย”

ลูกเดือย…แก้หูดเรื้อรัง ต้านเนื้องอก

ชาวบ้านในอดีตนิยมใช้ลูกเดือยต้มกินรักษาเนื้องอกในท้อง ปอด และหูด ในตำรายาจีน ลูกเดือยยังมีสรรพคุณในการรักษาโรคหูดที่มักจะเป็นเรื้อรัง โดยมีการทดลองในคนไข้ ๒๓ ราย ให้กินลูกเดือย ๖๐ กรัม ต้มรวมกับข้าวรับประทานวันละ ๑ ครั้ง ติดต่อกันจนกว่าจะหาย หลังจากกินลูกเดือยติดต่อกัน ๗-๗๖ วัน ได้ผลหายขาด ๑๑ ราย อาการดีขึ้น ๘ ราย ไม่ได้ผล ๖ ราย ซึ่งอาจเป็นเพราะสารจากลูกเดือยมีฤทธิ์ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังดีขึ้นหรือจากฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกก็แล้วแต่ ในท่านที่ต้องทนทุกข์กับการผ่าหูดแล้วผ่าหูดอีกไม่หายสักที ควรจะลองดูก็ไม่น่าเสียหายอะไร

ปัจจุบันจีนสกัดสารจากเมล็ดเดือยเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาและป้องกันมะเร็ง โดยยับยั้งและฆ่าเซลล์มะเร็ง กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อช่วยในการกำจัดมะเร็ง ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น ช่วยลดความปวดจากมะเร็ง ทำให้น้ำหนักที่ลดลงเพิ่มขึ้น ลดผลข้างเคียงของการฉายรังสีและเคมีบำบัด โดยไม่มีผลต่อตับ ไต หัวใจและเลือด และสามารถใช้ร่วมกันได้ดีกับการรักษาโดยการผ่าตัด

การศึกษาทางเภสัชวิทยา พบฤทธิ์ที่สำคัญได้แก่ ขับปัสสาวะ แก้ปวด ลดความดันโลหิต ลดน้ำตาลและลดคอเลสเตอรอลในเลือด กดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง เพิ่มภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการตกไข่ เป็นต้น



เราหวังว่า ทุกท่านได้ประโยชน์ที่อ่านบทความนี้ตามพอสมควร
ขอความกรุณาแสดงความเห็น ให้เราด้วยนะครับ เพือปรับปรุงบทความต่อๆไป ขอบคุณครับ
อ้างอิง: http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

เทศกาลโคนมแห่งชาติ ประจำปี 2555




เทศกาลโคนมแห่งชาติ ประจำปี 2555

กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ และ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เตรียมจัดงาน “” ขึ้นระหว่าง 11-17 มกราคม 2555 ณ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี สำหรับ ปีนี้ อ.ส.ค. จะจัดยิ่งใหญ่กว่าทุกปี เนื่องจากเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 50 ปีของฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค.... สำหรับกิจกรรมที่น่าสนใจภายในงาน จะมีการแสดงความก้าวหน้าของวิทยาการด้านการเลี้ยงโคนมและอุตสาหกรรมนมของประเทศเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการอุตสาหกรรมนม ได้มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนทัศนคติซึ่งกันและกัน รวมทั้งจะจัดเวทีเพื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ไปสู่เกษตรกร รวมทั้ง มีนิทรรศการในหัวข้อที่น่าสนใจหลายเรื่อง อาทิ เรื่อง “84 พรรษา 50 ปีอาชีพพระราชทาน สู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมโคนมอาเซียน” การสัมมนาวิชาการภายใต้หัวข้อ “เส้นทางการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมการโคนมอาเซียนของไทย” การแข่งขันประกวดแนวคิดชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หัวข้อ “อุตสาหกรรมนมไทย ก้าวไกลสู่อาเซียน” รวมทั้งยังจัดให้มีการประกวดโคนม 7 ประเภท ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.... สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำสหภาพยุโรป รายงานว่า ขณะนี้สหภาพยุโรป(EU) ได้ออกกฎระเบียบใหม่ว่าด้วยการกำหนดให้ สินค้าเกษตรอินทรีย์จากประเทศที่สาม (Third Countries List) ต้องผ่านการรับรองความเท่าเทียมกันภายใต้การขึ้นบัญชีรายชื่อหน่วยงานรับรองของรัฐ (Control Authority : CA) และหน่วยงานรับรองของเอกชน (Control Body : CB)ของสหภาพยุโรป โดย อียู จะลดบทบาทช่องทางการขอขึ้นทะเบียนรายชื่อประเทศที่สามที่สามารถส่งสินค้าเกษตรอินทรีย์ไปจำหน่ายยัง อียู กับประเทศสมาชิก อียู ลง และจะยกเลิกอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยไปยัง อียู ในอนาคต.... ปัจจุบันมีประเทศที่ได้อยู่ในบัญชีประเทศที่สาม 7 ประเทศ ที่สามารถส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ไป อียู ได้ ประกอบด้วย ประเทศอาร์เจนตินา ออสเตรเลีย คอสตาริกา อินเดีย อิสราเอล นิวซีแลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีประเทศตูนิเซีย ที่จะก้าวขึ้นมาอยู่ในบัญชีอันดับที่ 8 สำหรับในกลุ่มประเทศเอเชียคาดว่า ญี่ปุ่นจะได้รับการพิจารณาจาก อียู ในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งทาง อียู อยู่ระหว่างส่งทีมงานเข้าไปตรวจสอบระบบของญี่ปุ่นเป็นขั้นตอนสุดท้าย.


อ้างอิง : http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00758