tag:blogger.com,1999:blog-2403377225954753712024-03-14T00:10:00.402+07:00เกษตร น่ารู้ปุ๋ย, ปุ๋ยเม็ด, ปุ๋ยน้ำ, ปุ๋ยอินทรีย์, เกษตรอินทรีย์, อ้อย, มันสำปะหลัง, ยางพารา, ปาล์มน้ำมัน, ยาปราบศัตรูพืช, ปุ๋ยตรานกอินทรีคู่Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comBlogger73125tag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-90488346859943950012012-09-03T15:37:00.000+07:002012-09-03T15:37:15.887+07:00ปาล์มแปรปรวนปั่นป่วนตลาด<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-ztgsoGNAEwk/UERr_h3URaI/AAAAAAAAAWA/dufFRE5ZFJs/s1600/550831-270-4.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-ztgsoGNAEwk/UERr_h3URaI/AAAAAAAAAWA/dufFRE5ZFJs/s1600/550831-270-4.jpg" /></a></div>
<br />
<span id="lab_con_description"><b>ปาล์มแปรปรวนปั่นป่วนตลาด</b>
นางวิวรรณ บุณยะประทีปรัตน์
เลขาธิการสมาคมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า
สมาคมและชาวสวนปาล์มจะไม่คัดค้าน
หากรัฐบาลจะนำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศส่วนที่เหลืออีก 20,000 ตัน
ในช่วงปลายเดือน ส.ค.นี้ จากที่นำเข้ามาแล้วจำนวน 10,000 ตัน
ตามโควตาที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้นำเข้าได้ 30,000 ตัน
เพราะปริมาณสต๊อกน้ำมันปาล์มล่าสุดในเดือน ก.ค.2555 อยู่ที่ประมาณ 148,000
ตัน ต่ำกว่าระดับสต๊อกปลอดภัยที่จำนวน 200,000 ตัน <br />
<br />
“ราคาผลปาล์มในประเทศที่อยู่ในช่วงขาลงต่ำกว่า กก.ละ 5 บาท ในเดือน ส.ค.นี้
ไม่ได้เป็นผลจากการนำเข้าน้ำมันปาล์ม
แต่เป็นไปตามทิศทางเดียวกับราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลก
ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
และราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลงตามไปด้วย สำหรับราคาผลปาล์มในขณะนี้อยู่ที่
กก.ละ 4.70-4.90 บาท ยังเป็นราคาที่เกษตรกรมีกำไร
เนื่องจากต้นทุนการผลิตอยู่ที่ประมาณ กก.ละ 3.80 บาท” <br />
<br />
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกอยู่ที่ กก.ละ 20 บาท
ขณะที่ในประเทศราคาอยู่ที่ กก.ละ 30 บาท ลดลงจากก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่
กก.ละ 34-36 บาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มขวดพอใจ
เพราะสามารถผลิตน้ำมันปาล์มขวดขนาด 1
ลิตรจำหน่ายได้ในราคาควบคุมของกระทรวงพาณิชย์ขวดละ 42 บาท
ส่วนปริมาณผลปาล์มในประเทศ ขณะนี้เริ่มออกสู่ตลาดมากขึ้น
คาดว่าผลปาล์มจะออกสู่ตลาดมากที่สุดในช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค.นี้
โดยจะต้องจับตาต่อไปว่า
ผลปาล์มที่ออกสู่ตลาดในรอบนี้จะมีเพียงพอกับความต้องการของตลาดหรือไม่
เพราะปีนี้เป็นปีที่ปริมาณผลปาล์มในประเทศค่อนข้างแปรปรวน
พยากรณ์ปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดไม่ได้
ขณะที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประสบกับปัญหาเอลนินโญที่ทำให้เกิดความแห้งแล้ง
ปริมาณผลผลิตปาล์มในภูมิภาคลดลงมากถึง 20%.</span><br />
<br />
<span id="lab_con_description">อ้างอิง:http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=1121 </span><br />
<br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-15332813003845450962012-03-06T14:15:00.003+07:002012-03-06T14:19:32.398+07:00โรคใบยางพาราอ่อน<div align="center">
<h1>
<u>โรคใบยางพาราอ่อน</u></h1>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00878" target="_blank"><img border="0" height="125" src="http://2.bp.blogspot.com/-QqgerPkDkL4/T1W4-jDwCVI/AAAAAAAAATw/iYKCRiPfIOs/s320/550306-Rubber.jpg" width="85" /></a></div>
<br />
<h3>
<u>ใบยางพาราอ่อน</u></h3>
</div>
<div align="center">
<table border="1">
<tbody>
<tr>
<td><div align="center">
<b>สาเหตุ </b>
</div>
</td>
<td align="left">เกิดจากเชื้อราC.gloeosporioides
</td>
</tr>
<tr>
<td><div align="center">
<b>ลักษณะของเชื้อรา </b>
</div>
</td>
<td align="left"></td>
</tr>
<tr>
<td><b>ลักษณะอาการของ<br />
โรคใบยางอ่อน</b></td>
<td align="left"><div align="left">
เชื้อนี้เข้าทำลายใบยางขณะมีอายุ 5 - 15 วัน หลังจากเริ่มผลิ คือ
ระยะที่ใบขยายและกำลังเปลี่ยนจากสีทองแดงเป็นเขียวอ่อน
เมื่อเชื้อราเข้าทำลายอย่างรุนแรง ใบจะเหี่ยวและหลุดร่วงทันที
แต่ถ้าหากเชื้อราเข้าทำลายเมื่อใบโตเต็มที่แล้ว ใบจะแสดงอาการเป็นจุด ปลายใบหงิกงอ
แผ่นใบเป็นจุดสีน้ำตาล มีขอบแผลสีเหลือง
เมื่อใบมีอายุมากขึ้นจุดเหล่านี้จะนูนจนสังเกตเห็นได้ชัด
</div>
</td>
</tr>
<tr>
<td><div align="center">
<br />
<b>สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และการแพร่กระจายของโรค </b>
</div>
</td>
<td align="left"><div align="left">
เชื้อนี้จะแพร่กระจายในระยะฝนชุก และเข้าทำลายส่วนยอดหรือกิ่งอ่อนที่ยังเป็น
สีเขียวอยู่ ซึ่งจะเห็นเป็นรอยแตกบนเปลือก
โดยแผลมีลักษณะกลมคล้ายฝาชีที่ยอดขาดแหว่งไป หรือมีรูปร่างยาวรีไปตามเปลือกก็ได้
ถ้าเป็นมากยอดนั้น ๆ จะแห้งตาย
หากอากาศแห้งแล้งในระยะต่อมาจะทำให้ต้นยางเล็กแห้งตายได้
</div>
</td>
</tr>
<tr>
<td height="122"><div align="center">
<b>การป้องกันกำจัด<br />
โรค</b></div>
</td>
<td align="left"><div align="left">
การป้องกันกำจัด<br />
1. เนื่องจากโรคนี้เกิดกับยางที่ไม่สมบูรณ์
การบำรุงรักษาสภาพดินให้เหมาะแก่การเจริญเติบโตของต้นยาง
จึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด<br />
2. ป้องกันใบที่ผลิออกมาใหม่มิให้เป็นโรค โดยใช้สารเคมี ไซเน็บ หรือแคบตาโฟล
ผสมสารจับใบฉีดพ่น 5 - 6 ครั้ง ในระยะที่ใบอ่อนกำลังขยายตัวจนมีขนาดโต เต็มที่</div>
</td>
</tr>
</tbody></table>
</div>
<br />
<br />
อ้างอิง : <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00878">http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00878</a>
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ราสีชมพู</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ราดำ</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ราแป้ง</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">โรครา</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">เชื้อรา</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">โรคเชื้อรา</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ป้องกันเชื้อรา</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">แก้โรครา</a>|<a href="http://www.find4date.com./">Dating</a>|<a href="http://www.find4date.com./">หาแฟน</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/">ปุ๋ย</a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-61515571577250788752012-03-06T11:02:00.001+07:002012-03-06T11:02:05.923+07:00การแก้ปัญหายางพาราหน้าตาย<br />
<table align="center">
<tbody>
<tr>
<td><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00877" target="_blank"><img alt="การแก้ปัญหายางพาราหน้าตาย" border="0" height="224" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhzSP6YkZPnF4wTIczg5ESvcPQsNyBqqVAiipt6R8Qz_nf_1y25EKTKmJCqVGjgO9lAoNBdoSSK_HbLy_j-fV_INEZ3epxBw0AUCILck9My33Wiqo4BiRDiuRthi-xkt5huURQu_aBmql-h/s320/550306-Rubber-299.jpg" title="การแก้ปัญหายางพาราหน้าตาย" width="299" /></a></div>
</td>
</tr>
</tbody>
</table>
<h1>
<u>การแก้ปัญหายางพาราหน้าตาย</u></h1>
<b>การที่หน้ายางพาราตาย</b> นั้นเป็นปัญหาของเกษตรชาว<u>ยางพารา</u>เป็นอย่างมาก จึงต้องมีวิธีแก้ไข<u>หน้ายางพาราตาย</u> กรีด<u>ยางพารา</u>แล้วไม่มีน้ำยางออกมานั้น สาเหตุของอาการ<u>ยางพาราหน้าตาย</u> นั้นมีอยู่ 3 สาเหตุคือ <br />
<br />
1.สภาพอากาศ รวมถึงสภาพดิน ที่ไม่เอื้ออำนวย และไม่มีการบำรุงต้นยางอย่างถูกวิธี <br />
<br />
2.อาจเกิดจากปัญหาการกรีด<u>ยางพารา</u>ต้นเล็กที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งการเปิดกรีดยางครั้งแรกไม่ได้ยึดที่อายุของต้น<u>ยางพารา</u> แต่ จะยึดที่ขนาดของต้น<u>ยางพารา</u>คือ ให้วัดจากพื้นดินขึ้นมา 1.5 เมตร และวัดเส้นรอบต้น ณ จุดที่สุง 1.5 เมตร ให้ได้ 50 ซม. <br />
<br />
3.ในปีแรกเกษตรกรควรกรีด<u>ยางพารา</u> วัน เว้น วัน ซึ่งหากกรีดเกินนั้น จะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการทำให้เกิดอาการ<u>ยางพาราหน้าตาย</u> หรือ<u>หน้ายางพาราตาย</u><br />
<h3>
<u>วิธีแก้ไขหน้ายางพาราตาย</u></h3>
1.หยุดกรีดยาง และควรบำรุงรักษาต้นยาง 3-6 เดือน (หากอาการไม่รุนแรง) <br />
<br />
2.หยุดกรีดยาง และควรบำรุงรักษาต้นยาง 1 ปี (กรณีอาการรุนแรงไม่มากนัก) <br />
<br />
3.หากนานกว่า 1 ปี แสดงว่าอาการแก้ไขไม่ได้แล้ว ต้องตัดต้นยางพารขายเท่านั้น <br />
<br />
*สำหรับเกษตรกรที่มีข้อสอบถามเพิ่มเติมสามารถสอบถามเพิ่มเติมที่ สำนักงานกองทุนสงเคราะห์กรทำสวนยาง จังหวัดอุดรธานี โทร.(042)349157-8 <br />
<br />
<br />
อ้างอิง : <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00877">http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00877</a>
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ราสีชมพู</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ราดำ</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ราแป้ง</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">โรครา</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">เชื้อรา</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">โรคเชื้อรา</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ป้องกันเชื้อรา</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">แก้โรครา</a>|<a href="http://www.find4date.com./">Dating</a>|<a href="http://www.find4date.com./">หาแฟน</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/">ปุ๋ย</a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-64387548946822512262012-03-05T14:07:00.001+07:002012-03-05T14:07:17.506+07:00โรคแส้ดำในไร่อ้อย<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-4kIJY_hZx7o/T1RlA9v_1EI/AAAAAAAAATQ/LkZf8sQVn0I/s1600/550305-Disease-171.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="โรคแส้ดำในไร่อ้อย" border="0" height="250" src="http://1.bp.blogspot.com/-4kIJY_hZx7o/T1RlA9v_1EI/AAAAAAAAATQ/LkZf8sQVn0I/s320/550305-Disease-171.jpg" title="โรคแส้ดำในไร่อ้อย" width="171" /></a></div>
<h1>
<u>โรคแส้ดำในไร่อ้อย</u></h1>
สาเหตุ เกิดจาก เชื้อรา Ustilago scitaminea <br />
<br />
<b>การระบาดของโรคแส้ดำในไร่อ้อย </b><br />
<br />
1. การระบาดเป็นไปอย่างกว้างขวางโดยทางท่อนพันธุ์ จากกอที่เป็นโรค <br />
<br />
2. เชื้ออยู่ในดินและสามารถเข้าทำลาย<u>อ้อย</u>ที่ปลูกใหม่ได้ <br />
<br />
3. เชื้อสามารถแพร่กระจายได้โดยลม และเข้าทำลายพันธุ์ที่อ่อนแอได้ <br />
<br />
<b>ลักษณะอาการโรคแส้ดำในไร่อ้อย</b> <br />
<br />
<b>อ้อย</b>จะแตกยอดออกมาเป็นแส้สีดำแทนยอดปกติ ต้นแคระแกรนผอม ข้อสั้น ใบเล็ก แตกกอจัด เมื่อเป็นรุนแรง<u>อ้อย</u>จะแห้งตาย ผลผลิตลดลงเกินกว่า 10 % CCS ลดลง ไว้ตอได้น้อยลง <br />
<br />
<b>การป้องกันกำจัดโรคแส้ดำในไร่อ้อย </b><br />
<br />
1. เลือกใช้พันธุ์ต้านทาน เช่น อู่ทอง 1, อู่ทอง 2, อู่ทอง 3, อู่ทอง 4 <br />
<br />
2. ไม่ควรใช้ท่อนพันธุ์จากแหล่งที่มีโรคระบาด <br />
<br />
3. ในพื้นที่มีการระบาด ถ้าเลือกใช้พันธุ์ที่ไม่ราบข้อมูลความต้านทาน ควรแช่ท่อนพันธุ์ในสารเคมี เช่นไตรอะไดมีฟอน (ไบลีตัน 25 % WP), โปรปิโคนาโซล (ทิลท์, เดสเมล) อัตรา 48 กรัม/น้ำ 20 ลิตร นาน 30 นาที ก่อนปลูก <br />
<br />
<br />
อ้างอิง : <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00876">http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00876</a>
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ราสีชมพู</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ราดำ</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ราแป้ง</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">โรครา</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">เชื้อรา</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">โรคเชื้อรา</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ป้องกันเชื้อรา</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">แก้โรครา</a>|<a href="http://www.find4date.com./">Dating</a>|<a href="http://www.find4date.com./">หาแฟน</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/">ปุ๋ย</a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-76285170266582057342012-03-05T10:47:00.001+07:002012-03-05T10:47:46.822+07:00ฤดูปลูกข้าวโพด<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00875" target="_blank"><img alt="ฤดูกาลปลูกข้วโพด" border="0" height="175" src="http://1.bp.blogspot.com/-mEwbt_xt-L0/T1QsH3RbhJI/AAAAAAAAAS0/YUM6c-cu2uw/s320/550305-Corn-233.jpg" title="ฤดูกาลปลูกข้าวโพด" width="233" /></a></div>
<br />
<h1 style="text-align: center;">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00875" target="_blank"><u>ฤดูปลูกข้าวโพด</u></a></h1>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00875" target="_blank"><b>ข้าวโพด</b></a>เป็นพืชไร่ที่ค่อนข้างทนทานและปลูกง่าย ในสภาพดินฟ้าอากาศของเมืองไทย ถ้ามีน้ำเพียงพอ จะสามารถปลูก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00875" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>ได้ตลอดทั้งปี การปลูกส่วนใหญ่อาศัยน้ำจากน้ำฝนธรรมชาติเพียงอย่างเดียว ดังนั้น <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00875" target="_blank"><u>ฤดูปลูกข้าวโพด</u></a>ที่เหมาะสมจึ่งขึ้นอยู่ กับจำนวนน้ำฝนและการกระจายตัวของฝนในแต่ละเดือนนั่นเอง ปกติเฉลี่ยโดยทั่ว ๆ ไป ฝนจะเริ่มตกมากตั้งแต่เดือนมีนาคม-พฤศจิกายน และระหว่างสิงหาคม-กันยายน เป็นช่วงที่ฝนตกชุกที่สุด พันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00875" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>ที่นิยมปลูกกันอยู่ในปัจจุบันมีอายุปานกลาง คือ ประมาณ ๑๑๐-๑๒๐ วัน ดังนั้น จึงอาจเลือกปลูก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00875" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>ได้ตามความเหมาะสม ถ้าปีใดมีฝนตกสม่ำเสมอแต่ต้นปี อาจปลูก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00875" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>ได้ ๒ ครั้ง คือ ครั้งแรกปลูกในระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน และครั้งที่สองปลูกระหว่างเดือนกรกฎาคม-กลางเดือนสิงหาคม พวกที่ปลูกต้นฤดูฝนโดยทั่ว ๆ ไป มักได้ผลิตผลสูงกว่าพวกที่ปลูกปลายฤดูฝน ทั้งนี้เนื่องจากปริมาณน้ำฝนกำลังพอเหมาะและโรคแมลงรบกวนน้อย แต่มีข้อยุ่งยากในการเก็บเกี่ยว ไม่สะดวกแก่การตาก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00875" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a> เนื่องจากฝนตกชุก<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00875" target="_blank"><img alt="ฤดูกาลปลูกข้วโพด" border="0" height="177" src="http://2.bp.blogspot.com/-BhHjsjUlrFo/T1QsQuhtXOI/AAAAAAAAATA/AA3QRuyQcLE/s320/550305-Corn-231.jpg" title="ฤดูกาลปลูกข้าวโพด" width="231" /></a></div>
<br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00875" target="_blank"><b>ข้าวโพด</b></a> เป็นพืชที่สามารถปลูกได้ตลอดปีถ้าไม่มีปัญหาเรื่องนํ้า แต่โดยทั่วไปเกษตรกรไทยปลูก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00875" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a> โดยอาศัยนํ้าฝนเป็นหลัก ดังนั้นฤดูปลูกโดยทั่วไปในประเทศไทย มี 2 ฤดู คือ <br />
<br />
<b>1. ปลูกต้นฤดูฝน</b> เริ่มประมาณเดือนเมษายน-พฤษภาคม ขึ้นอยู่กับการตกและการกระจายของ ฝนในท้องถิ่น เกษตรกรนิยมปลูก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00875" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>ต้นฤดูฝน เนื่องจากได้ผลผลิตสูงกว่า ไม่มีโรครานํ้าค้างระบาด <br />
<br />
พันธุ์สุวรรณ 2602 เทียบกับสุวรรณ 1 ทำความเสียหาย รวมทั้งปัญหาวัชพืชรบกวนน้อยกว่าปลูกปลายฤดูฝน แต่จะมีปัญหาจากสารพิษ อะฟลาท้อกซิน <br />
<br />
<b>2. ปลูกปลายฤดูฝน</b> เริ่มประมารเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม การปลูกในฤดูปลายฝนนี้ ต้องใช้ พันธุ์ที่ต้านทานต่อโรครานํ้าค้าง เพราะเป็นฤดูปลูกที่โรครานํ้าค้างระบาดทำ ความเสียหายให้แก่<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00875" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a> <br />
<br />
มากอย่างไรก็ตาม<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00875" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a> ที่เก็บได้จากการปลูกต้นฤดูฝนคุณภาพของเมล็ดตํ่า ทั้งนี้เพราะเมล็ดเก็บ เกี่ยวที่ความชื้นสูง ทำให้เกิดเชื้อรา ซึ่งสร้างสารพิษ อะฟลาท้อกซิน ทำให้เมล็ด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00875" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>ที่เก็บเกี่ยวจากการปลูกต้นฤดูฝน มีสารพิษนี้ในปริมารสูง จนก่อให้เกิดปัญหาการรับซื้อจากตลาดต่างประเทศ ส่วนเมล็ด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00875" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>ที่เก็บเกี่ยวจากการปลูกปลายฤดูฝน ไม่มีปัญหาเรื่องสารพิษอะฟลาท้อกซิน ถ้ามีก็น้อยเพราะการเก็บเกี่ยวกระทำ ในขณะที่ความชื้นในอากาศตํ่า <br />
<br />
อ้างอิง : <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00875">http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00875</a>
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ราสีชมพู</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ราดำ</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ราแป้ง</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">โรครา</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">เชื้อรา</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">โรคเชื้อรา</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ป้องกันเชื้อรา</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">แก้โรครา</a>|<a href="http://www.find4date.com./">Dating</a>|<a href="http://www.find4date.com./">หาแฟน</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/">ปุ๋ย</a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-75311508374446748562012-03-02T10:07:00.001+07:002012-03-02T10:09:15.463+07:00เทคนิคการปลูกข้าวโพดหวาน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-rT2tLf0NXy0/T1A1yxTWdUI/AAAAAAAAASY/TomsWg-Mfug/s1600/Corn.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="เทคนิคการปลูกข้าวโพดหวาน" border="0" height="194" src="http://4.bp.blogspot.com/-rT2tLf0NXy0/T1A1yxTWdUI/AAAAAAAAASY/TomsWg-Mfug/s320/Corn.jpg" title="เทคนิคการปลูกข้าวโพดหวาน" width="259" /></a></div>
<h1>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00874" target="_blank"><u>เทคนิคการปลูกข้าวโพดหวาน </u></a></h1>
ให้ได้ผลผลิตสูงและคุณภาพฝักสดดี
<br />
::: <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00874" target="_blank"><b>พันธุ์ข้าวโพดหวาน</b></a> <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00874" target="_blank"><b>พันธุ์ข้าวโพดหวาน</b></a>ที่ใช้ปลูกควรเป็น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00874" target="_blank"><u>ข้าวโพดหวาน</u></a>ลูกผสม ในตลาดมีหลายพันธุ์ผลิตจากหลายบริษัทให้เลือก แต่พันธุ์ที่แนะนำคือพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00874" target="_blank"><u>ข้าวโพดหวาน</u></a>ลูกผสม ไฮ-บริกซ์ 10 และ ไฮ-บริกซ์ 3 ทั้งสองพันธุ์เป็นพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00874" target="_blank"><u>ข้าวโพดหวาน</u></a>ลูกผสมที่ผลิตโดย บริษัท แปซิฟิคเมล็ดพันธุ์ จำกัด ซึ่งสามารถให้ผลผลิตสูง มีขนาดฝักใหญ่เป็นที่ต้องการของตลาด คุณภาพฝักสดดีมาก รสชาติดี กลิ่นหอม นอกจากนี้ยังสามารถปลูกได้ในทุกสภาพแวดล้อมในประเทศไทย เพราะเป็นพันธุ์ที่ปรับปรุงขึ้นโดยใช้เชื้อพันธุกรรมที่มีในประเทศ ทำให้สามารถปรับตัวได้อย่างกว้างขวาง <br />
<br />
::: <b>การเตรียมดิน</b> <br />
<br />
การเตรียมดินถือเป็นหัวใจของ<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>การปลูกข้าวโพดหวาน</u></a>ให้ได้ผลผลิตสูง เพราะถ้าดินมีสภาพดีเหมาะกับการงอกของเมล็ดจะทำให้มีจำนวนต้นต่อไร่สูง ผลผลิตต่อไร่ก็จะสูงตามไปด้วยการเตรียมดินที่ดีควรมีการไถดะและทิ้งตากดินไว้ 3-5 วัน จากนั้นจึงไถแปรเพื่อย่อยดินให้ แตกละเอียดไม่เป็นก้อนใหญ่เหมาะกับการงอกของเมล็ด ควรมีการหว่านปุ๋ยคอกเช่นปุ๋ยขี้ไก่เป็นต้น อัตราประมาณ 1 ตันต่อไร่ก่อนการไถแปร เพื่อเป็นการปรับปรุงโครงสร้างของดินให้ดีขึ้นสามารถอุ้มน้ำได้นานขึ้น และยังเป็นการเพิ่มธาตุอาหารให้กับ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00874" target="_blank"><u>ข้าวโพดหวาน</u></a> <br />
<br />
::: <b>การปลูก</b> ควรปลูกเป็นแถวเป็นแนวซึ่งสามารถปลูกได้สองวิธี คือ <br />
<br />
การปลูกแบบแถวเดี่ยว ระยะระหว่างแถว 75 เซนติเมตร ระยะระหว่างต้น 25-30 เซนติเมตร ปลูกหลุมละ 1 ต้น จำนวนต้นต่อไร่ประมาณ 7,000-8,500 ต้น จะใช้เมล็ดประมาณ 1.0-1.5 กิโลกรัมต่อไร่ <br />
<br />
การปลูกแบบแถวคู่ มีการยกร่องสูง ระยะระหว่างร่อง 120 เซนติเมตร ปลูกเป็นสองแถวข้างร่อง ระยะห่างกัน 30 เซนติเมตร ระยะระหว่างต้น 25-30 เซนติเมตร1 ต้นต่อหลุม จะมีจำนวนต้นประมาณ 7,000-8,500 ต้นต่อไร่และใช้เมล็ดประมาณ 1.0-1.5 กิโลกรัมต่อไร่ การให้น้ำจะปล่อยน้ำตามร่องซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกดี <br />
<br />
::: <b>การใส่ปุ๋ย</b> <br />
<br />
ปุ๋ยเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>การปลูกข้าวโพด</u></a>หวาน เพราะปัจจุบันพื้นที่การเกษตรของประเทศไทยเป็นพื้นที่ที่มีการปลูกพืชติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลง จึงควรใส่ธาตุอาหารพืช (ปุ๋ย) เพิ่มเติมลงในดิน การใส่ปุ๋ยใน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00874" target="_blank"><u>ข้าวโพดหวาน</u></a>มีขั้นตอนดังนี้ <br />
<br />
การใส่ปุ๋ยรองพื้น สูตรปุ๋ยที่แนะนำคือ 15-15-15 หรือ 25-7-7 หรือ 16-16-8 <br />
<br />
อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่พร้อมปลูกหรือใส่ขณะเตรียมดิน <br />
<br />
หมายเหตุ <br />
<br />
ถ้าปลูกด้วยมือ ควรหยอดปุ๋ยที่ก้นหลุมแล้วกลบดินบาง ๆ ก่อนหยอดเมล็ด <br />
<br />
ไม่ควรให้ปุ๋ยสัมผัสกับเมล็ดโดยตรงเพราะอาจทำให้เมล็ดเน่าได้ <br />
<br />
การใส่ปุ๋ยแต่งหน้าครั้งที่ 1 สูตรปุ๋ยที่แนะนำคือ 46-0-0 (ยูเรีย) อัตรา 25-30 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่เมื่อ<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>มีอายุ 20-25 วันหลังปลูก โรยข้างต้นในขณะดินมีความชื้นหรือให้น้ำตาม หรือพูนโคนกลบปุ๋ยก็จะเป็นการกำจัดวัชพืชไปในตัว <br />
<br />
การใส่ปุ๋ยแต่งหน้าครั้งที่ 2 เมื่อ<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>มีอายุ 40-45 วันหลังปลูก ถ้าแสดงอาการเหลืองหรือไม่สมบูรณ์ ให้ใส่ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ โรยข้างต้นในขณะดินมีความชื้นหรือให้น้ำตาม <br />
<br />
::: <b>การกำจัดวัชพืช</b> <br />
<br />
ถ้าแปลงปลูก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00874" target="_blank"><u>ข้าวโพดหวาน</u></a>มีวัชพืชขึ้นมากจะทำให้<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>ไม่สมบูรณ์ ผลผลิตจะลดลงจึงควรมีการกำจัดวัชพืชในแปลงปลูก วิธีการกำจัดวัชพืชสามารถทำได้ดังนี้ <br />
<br />
การฉีดยาคุมวัชพืช ใช้อลาคลอร์ ฉีดพ่นลงดินหลังจากปลูกก่อนที่วัชพืชจะงอกขณะฉีดพ่นดินควรมีความชื้นเพื่อทำให้ยามีประสิทธิภาพดีขึ้น <br />
<br />
ใช้วิธีการเขตกรรม ถ้าหากจำเป็นต้องใช้สารเคมีควรได้รับคำแนะนำจากนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง หรือเจ้าหน้าที่โรงงานผู้ส่งเสริมการปลูก <br />
<br />
::: <b>การให้น้ำ</b> <br />
<br />
ระยะที่<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00874" target="_blank"><u>ข้าวโพดหวาน</u></a>ขาดน้ำไม่ได้คือระยะ 7 วันแรกหลังปลูก เป็นระยะที่<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>กำลังงอก ถ้า<u>ข้าวโพดหวาน</u>ขาดน้ำช่วงนี้จะทำให้การงอกไม่ดี จำนวนต้นต่อพื้นที่ก็จะน้อยลงจะทำให้ผลผลิตลดลงไปด้วย ระยะที่ขาดน้ำไม่ได้อีกช่วงหนึ่งคือระยะออกดอก การขาดน้ำในช่วงนี้จะมีผลทำให้การผสมเกสรไม่สมบูรณ์ การติดเมล็ดจะไม่ดี ติดเมล็ดไม่เต็มถึงปลายหรือติดเมล็ดเป็นบางส่วน ซึ่งฝักที่ได้จะขายได้ราคาต่ำ โดยปกติถ้าเป็นพื้นที่ที่สามารถให้น้ำได้ควรให้น้ำทุก 3-5 วัน ขึ้นกับสภาพต้น<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>และสภาพอากาศ แต่ช่วงที่ควรให้น้ำถี่ขึ้นคือช่วงที่<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>กำลังงอกและช่วงออกดอก <br />
<br />
::: <b>การเก็บเกี่ยว</b> <br />
<br />
โดยปกติ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00874" target="_blank"><u>ข้าวโพดหวาน</u></a>จะเก็บเกี่ยวเมื่อมีอายุประมาณ 70-75 วันหลังปลูก แต่ระยะที่เหมาะสมสำหรับการเก็บเกี่ยวที่สุด คือ ระยะ 18-20 วันหลัง<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>ออกไหม 50% (<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a> 100 ต้นมีไหม 50 ต้น) <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00874" target="_blank"><u>ข้าวโพดหวาน</u></a>พันธุ์ ไฮ-บริกซ์ 10 จะเก็บเกี่ยวที่อายุประมาณ 68-70 วัน และพันธุ์ไฮ-บริกซ์ 3 จะเก็บเกี่ยวที่อายุประมาณ 65-68 วันหลังปลูก แต่ถ้าปลูกในช่วงอากาศหนาวเย็นอายุการเก็บเกี่ยวอาจจะยืดออกไปอีก หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วควรรีบส่งโรงงานหรือจำหน่ายโดยเร็ว เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ หากขาดน้ำจะมีผลต่อเมล็ดและน้ำหนักของฝัก <br />
<br />
::: <b>ปัญหาและการแก้ไข</b> ที่พบเห็นบ่อย ๆ มีดังนี้ <br />
<br />
ความงอก ปกติเมล็ดพันธุ์ไฮ-บริกซ์ 10 และ ไฮ-บริกซ์ 3 ได้ผ่านการทดสอบความงอกมาแล้วจึงจำหน่ายสู่เกษตรกร แต่บางครั้งเมล็ดพันธุ์อาจจะค้างอยู่ในร้านค้าเป็นเวลานานหรือเกษตรกรอาจจะซื้อเมล็ดพันธุ์มาเก็บไว้ที่บ้าน และสถานที่เก็บอาจจะไม่เหมาะสม สิ่งเหล่านี้มีผลทำให้เมล็ดพันธุ์มีความงอกลดลง วิธีการแก้ไขที่ดีที่สุด คือ ก่อนปลูกทุกครั้งให้ทดสอบความงอกของเมล็ดที่จะปลูกก่อน โดยการสุ่มเมล็ดจากถุงประมาณ 100 เมล็ด แล้วปลูกลงในกระบะทรายหรือดินแล้วรดน้ำเพื่อทดสอบความงอก นับต้นที่โผล่พ้นดินในวันที่ 7 ถ้ามีจำนวนต้นเกิน 85 ต้น ถือว่ามีอัตราความงอกที่ใช้ได้ก็สามารถนำเมล็ดพันธุ์ถุงนั้นไปปลูกได้ <br />
<br />
โรคราน้ำค้าง ปัจจุบันพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00874" target="_blank"><u>ข้าวโพดหวาน</u></a>เกือบทุกพันธุ์ที่ขายในประเทศไทยเป็นพันธุ์ที่ไม่ต้านทานโรคราน้ำค้าง ตั้งแต่พันธุ์ไฮ-บริกซ์ 10 และ ไฮ-บริกซ์ 3 จนถึงพันธ์ล่าสุดไฮ-บริกซ์ 9 ซึ่งทุกพันธุ์ได้ผ่านการคลุกยาป้องกันโรคราน้ำค้าง (เมตาแลกซิล) ในอัตรายาที่เหมาะสม เมื่อปลูกแล้วจะไม่พบว่าเป็นโรค แต่การปลูกที่ผิดวิธีก็อาจเป็นสาเหตุให้เป็นโรคราน้ำค้างได้ การปลูกที่ผิดวิธีที่พบเห็นบ่อยๆ มีดังนี้ <br />
<br />
แช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำก่อนปลูก เกษตรกรเชื่อว่าการแช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำก่อนปลูกจะทำให้การงอกดีและมีความสม่ำเสมอ แต่การแช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำก่อนปลูกจะทำให้ยาที่คลุกติดมากับเมล็ดพันธุ์ซึ่งเป็นยาป้องกันโรคราน้ำค้างละลายหลุดออกไป ทำให้ยาที่เคลือบเมล็ดมีน้อยลงหรือไม่มีเลย เมื่อนำเมล็ดพันธุ์ที่แช่น้ำไปปลูก ต้นอ่อนที่งอกออกมาจึงเป็นโรค ราน้ำค้าง วิธีแก้ไข คือ ไม่แช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำก่อนปลูกหรือคลุกสารเคมีอื่นเพิ่มเพราะมีผลต่อความต้านทานโรคราน้ำค้างและความงอกของเมล็ดพันธุ์ <br />
<br />
ปล่อยน้ำท่วมขังแปลงหลังปลูก เกษตรกรบางรายเมื่อปลูกเสร็จจะปล่อยน้ำท่วมแปลงปลูกหรือปล่อยน้ำท่วมร่องปลูก ซึ่งน้ำจะท่วมขังอยู่เป็นเวลานานกว่าจะซึมลงดินหมด เมล็ดจะแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน ยาป้องกันโรคราน้ำค้างที่เคลือบเมล็ดอยู่จะละลายหายไปกับน้ำ ทำให้ต้นอ่อนที่งอกขึ้นมาไม่ได้รับยาป้องกันโรคราน้ำค้าง จึงแสดงอาการเป็นโรคให้เห็น วิธีแก้ไข คือ ให้น้ำในแปลงก่อนการปลูกและรอให้ดินมีความชื้นเหมาะกับการงอกของเมล็ดจึงทำการปลูก ยาที่เคลือบเมล็ดจะไม่ละลายหลุดไปกับน้ำ ต้นอ่อนที่งอกออกมาจึงได้รับยาอย่างเต็มที่และไม่เป็นโรคราน้ำค้าง <br />
<br />
การระบาดของหนู พื้นที่ที่ปลูก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00874" target="_blank"><u>ข้าวโพดหวาน</u></a>ติดต่อกันหลายรุ่นมักจะพบว่ามีหนูระบาดและมักจะเข้าทำลาย<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00874" target="_blank"><u>ข้าวโพดหวาน</u></a>ในระยะงอกและระยะก่อนเก็บเกี่ยว เมื่อมีหนูระบาดจะทำให้ผลผลิตลดลง ฝักที่เก็บได้มีร่องรอยการทำลายของหนูทำให้ขายไม่ได้ แก้ไขโดยการวางยาเบื่อหนู ซึ่งทำได้โดยใช้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00874" target="_blank"><u>ข้าวโพดหวาน</u></a>ฝักสดฝานเอาแต่เนื้อผสมกับยาเบื่อหนูที่เป็นผงสีดำ (Zinc phosphide) คลุกเคล้าให้ทั่วแล้วหว่านให้ทั่วในแปลงหลังจากปลูกเสร็จ (อาจจะหว่านในช่วงหลังปลูก คือ <a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>กำลังงอก ) และในช่วงก่อนการเก็บเกี่ยว ( ช่วง<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>กำลังเป็นน้ำนม ประมาณ 65-70 วันหลังปลูก )หว่านติดต่อกันสัก 3 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 2-3 วัน จะทำให้การระบาดของหนู ลดลง <br />
<br />
หนอนเจาะฝัก<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a> บางฤดูจะพบว่ามีการระบาดของหนอนเจาะฝักเกิดขึ้นซึ่งจะทำให้ฝักที่เก็บเกี่ยวได้มีตำหนิขายไม่ได้ราคา ผลผลิตต่อไร่ลดลง สามารถป้องกันการระบาดได้โดยการหมั่นตรวจแปลงอยู่เสมอโดยเฉพาะในระยะเริ่มผสมเกสร ถ้าพบว่าเริ่มมีหนอนเจาะฝักให้ใช้ยา ฟลูเฟนนอกซูรอน หรือ ฟิโบรนิล (ชื่อสามัญ) ในอัตรา 20 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นที่ฝัก 1-2 ครั้ง ห่างกัน 7 วัน <br />
<br />
มวนเขียว หลังจาก<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>ผสมเกสรแล้ว บางครั้งจะมีมวนเขียวระบาดโดยเฉพาะช่วงฝนทิ้งช่วงหรือในหน้าแล้ง มวนเขียวจะใช้ปากเจาะฝัก<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>และดูดกินน้ำเลี้ยงจากเมล็ดที่ยังอ่อนอยู่ชึ่งจะไม่เห็นร่องรอยการทำลายจากภายนอก เมื่อเก็บเกี่ยวจะพบว่าเมล็ดมีรอยช้ำหรือรอยดำด่างทำให้ขายไม่ได้ราคา ป้องกันได้โดยการหมั่นเดินตรวจแปลงในระยะหลังจากผสมเกสรแล้วถ้าพบมวนเขียวให้ฉีดพ่นด้วยยา คาร์โบซัลแฟน (ชื่อสามัญ) อัตรา 40 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นที่ฝัก<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a> <br />
<br />
เพลี้ยไฟ ถ้า<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00874" target="_blank"><u>ข้าวโพดหวาน</u></a>ออกดอกในช่วงฝนทิ้งช่วงหรือในหน้าแล้ง มักจะพบว่ามีเพลี้ยไฟ(แมลงตัวเล็กๆ สีดำ) เกาะกินน้ำเลี้ยงที่ไหมของฝัก<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>ทำให้ไหมฝ่อ การผสมเกสรไม่สมบูรณ์ การติดเมล็ดจะไม่ดีตามไปด้วย ป้องกันได้โดยหมั่นตรวจแปลงในระยะออกดอก ถ้าพบว่ามีเพลี้ยไฟเกาะที่ไหม ให้ใช้ยาเอ็นโดซันแฟน (ชื่อสามัญ) หรือ วีฟอส (ชื่อการค้า) อัตรา 40 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นที่ฝัก <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>ไม่หวาน ถ้าพบว่า<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพดหวาน</u></a>ฝักสดมีรสชาติไม่หวานแสดงว่าดินในแปลงที่ปลูก<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>ขาดธาตุโปแตสเซี่ยม (K) ธาตุโปแตสเซี่ยมจะช่วยให้การสะสมน้ำตาลในเมล็ดดีขึ้น แก้ไขได้โดยการใส่ปุ๋ยรองพื้นที่มีธาตุโปแตสเซี่ยมร่วมด้วย เช่น ปุ๋ยสูตร 25-7-7 หรือ 16-16-8 หรือ 13-13-21 ขึ้นกับสภาพดิน ถ้าดินขาดโปแตสเซี่ยมมากก็ควรใส่ปุ๋ยสูตรที่มีค่า K สูง <br />
<br />
เปลือกหุ้มฝักเหลือง การเก็บเกี่ยวที่อายุเกิน 20 วันหลังออกไหม 50% จะมีผลทำให้เปลือกหุ้มฝักมีสีเขียวอ่อนลงดูเหมือนฝักจะแก่ บางครั้งถึงแม้ว่าจะเก็บเกี่ยวที่อายุเหมาะสม เปลือกหุ้มฝักก็ยังมีสีออกเหลือง การแก้ไขทำได้โดยการเพิ่มปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตรา 15-20 กิโลกรัมต่อไร่ โรยข้างต้น<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>ในขณะดินมีความชื้นในระยะที่<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>ออกดอก จะทำให้เปลือกหุ้มฝักมีสีเขียวอยู่ได้นานขึ้น <br />
<br />
โรคราสนิม ถ้ามีโรคราสนิมระบาดรุนแรงจะทำให้ฝัก<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank"><u>ข้าวโพด</u></a>ไม่สมบูรณ์ การติดเมล็ดจะไม่เต็มถึงปลายขายไม่ได้ราคา ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคราสนิมอยู่เป็นประจำควรฉีดพ่นด้วยยาไดฟีโนโคนาโซล (ชื่อสามัญ)หรือ สกอร์ (ชื่อการค้า) อัตรา 20 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร เมื่อเริ่มเป็นโรค <br />
<br />
::: <b>ข้อควรระมัดระวัง</b> <br />
<br />
การใช้สารเคมีป้องกันและกำจัดโรคและแมลง เกษตรกรควรขอคำแนะนำจากโรงงานผู้ส่งเสริม หรือนักวิชาการโดยตรง เพื่อหลีกเลี่ยงสารตกค้างที่อาจปนเปื้อนไปกับผลิตภัณฑ์ <br />
<br />
ข้อมูล นายไพศาล หิรัญมาศสุวรรณ นักปรับปรุงพันธุ์พืช <br />
<br />
อ้างอิง : <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00874">http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00874</a>
<br /><a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx">ข้าวโพด</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx">ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx">ข้าวโพดหวาน</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx">การปลูกข้าวโพด</a>|<a href="http://www.find4date.com./">Dating</a>|<a href="http://www.find4date.com./">หาแฟน</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/">ปุ๋ย</a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-66914243697429904002012-03-01T14:22:00.000+07:002012-03-01T14:22:08.204+07:00การผสมพันธุ์ข้าวโพด<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-pikNdpm3VjA/T08hFAbvnYI/AAAAAAAAASI/7bMpkWbTXC4/s1600/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25B8%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2594%2B%25282%2529.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="263" src="http://1.bp.blogspot.com/-pikNdpm3VjA/T08hFAbvnYI/AAAAAAAAASI/7bMpkWbTXC4/s320/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25B8%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2594%2B%25282%2529.jpg" width="299" /></a></div>
<h1>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00873" target="_blank"><u>การผสมพันธุ์ข้าวโพด</u></a></h1>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00873" target="_blank">การผสมพันธุ์ข้าวโพด</a>การศึกษาและค้นคว้า<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank">ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์</a>ในด้านพันธุกรรมมีมากกว่าพืชอื่นใดทั้งสิ้น ทั้งนี้เนื่องจาก<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank">ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์</a>มีความแปรปรวนทางพันธุกรรมสูง ปลูกง่ายและปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างกว้างขวาง มีลักษณะแต่ละอย่างแตกต่างกันมาก นอกจากนี้ยังมีดอกตัวผู้ และดอกตัวเมียอยู่แยกกันคนละดอกแต่อยู่ในต้นเดียวกัน สะดวกที่จะผสมตัวเอง (selfing) หรือผสมข้ามต้น (crossing) ต้นหนึ่งสามารถผลิตเมล็ดได้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้โครโมโซม (chromosome)ก็มีขนาดใหญ่และมีจำนวนเพียง 10 คู่เท่านั้น <a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank">ข้าวโพด</a>เป็นพืชที่ผสมข้ามต้นตามธรรมชาติ ฉะนั้น พันธุ์ที่ปรากฏตามธรรมชาติ หรือพันธุ์ที่ปล่อยให้ผสมกันเองโดยอิสระนั้น จึงมักจะผสมปนเปกันหลายซับหลายซ้อน และมีความแปรปรวนทางพันธุกรรมสูงมาก หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็น<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank">ข้าวโพด</a>พันธุ์ลูกผสมหลายแสนหลายล้านพันธุ์ผสมปนเปกันอยู่เราเรียก<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank">ข้าวโพด</a>พันธุ์เช่นนี้ว่า พันธุ์ผสมเปิด (open pollinated variety) เป็นพันธุ์ที่รู้จักกันมาตั้งแต่เดิม และยังคงใช้กันอยู่ในบางประเทศ ข้อดีของพันธุ์ดังกล่าวนี้อยู่ที่มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติได้ง่าย มีความไหวตัวต่อสิ่งแวดล้อมน้อย กล่าวคือถึงแม้จะมีผลผลิตไม่ค่อยสูงเหมือนพันธุ์ลูกผสม (hybrids) แต่การปลูกที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ถึงแม้บางแห่งดินจะเลว บางแห่งฤดูฝนจะแล้ง วัชพืชจะรกไปบ้าง แต่ผลผลิตก็ยังคงอยู่ในระดับปานกลาง ไม่ถึงกับเสียทั้งแปลง นอกจากนี้<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank">ข้าวโพด</a>พันธุ์ผสมเปิดนี้ เกษตรกรสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกในฤดูต่อไปได้เอง โดยผลตอบแทนต่อไร่จะไม่ต่ำกว่าพันธุ์เดิม และถ้าหากรู้จักวิธีคัดเลือกพันธุ์ที่ถูกต้องแล้ว อาจจะได้พันธุ์ที่คัดเลือกไว้มีผลผลิตและคุณภาพบางอย่างดีกว่าพันธุ์เดิมอีกด้วย
<br />
<br />
<br />
ในปัจจุบันวิทยาการด้านปรับปรุงพันธุ์พืชมีความก้าวหน้ามาก ตลอดจนเกษตรกรมีความพร้อมในการใช้พันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank">ข้าวโพด</a>เมล็ดพันธุ์ลูกผสม แนวทางการปรับปรุงพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank">ข้าวโพด</a>จึงมุ่งเน้นไปเพื่อผลิตพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank">ข้าวโพด</a>ลูกผสมโดยอาศัยลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของพืชผสมข้ามต้น เมื่อนำพันธุ์หรือสายพันธุ์ที่มีความแตกต่างทางด้านพันธุกรรมมาผสมกัน ลูกผสมที่ได้นี้มักจะมีลักษณะดีเด่นเหนือกว่าพ่อแม่ (heterosis หรือ hybrid vigor) ลักษณะดีเด่นดังกล่าวนี้ มักจะแสดงออกในหลาย ๆ ทาง โดยทั่ว ๆ ไป เช่น ผลผลิต ความสูง ขนาด และความเจริญเติบโต เป็นต้น และยิ่งพ่อแม่มีความแตกต่างทางพันธุกรรมมากเพียงใด ลักษณะดีเด่นเช่นที่ว่านี้ก็ยิ่งแสดงออกมากเท่านั้น การผลิตพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank">ข้าวโพด</a>ลูกผสมชนิดต่าง ๆ ก็อาศัยหลักดังกล่าว โดยงานด้านนี้ได้เริ่มเป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2488 มีหลักเกณฑ์และวิธีการ คือ พยายามสกัดสายพันธุ์ (lines) เป็นจำนวนมากจาก<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank">ข้าวโพด</a>พันธุ์ต่าง ๆ ด้วยวิธีการควบคุมและบังคับให้ผสมภายในต้นเดียวกัน (selfing) หลาย ๆ ชั่วอายุ เพื่อให้สายพันธุ์ที่ผสมตัวเอง (inbred lines) เหล่านั้น มีลักษณะทางกรรมพันธุ์แตกต่างแยกแยะกันไปและเกือบกลายเป็นพันธุ์แท้ (homozygous lines) มากเข้าทุกที แต่ในขณะเดียวกันสายพันธุ์เหล่านี้ก็จะสูญเสียความแข็งแรง และความสามารถในการเจริญเติบโตด้วย สายพันธุ์เหล่านี้จะนำมาผสมกันเพื่อทดสอบความสามารถในการรวมตัวโดยทั่วไป (general combining ability) หรือเฉพาะของแต่ละคู่ (specific combining ability) เมื่อพบว่าคู่ใดที่ให้ผลผลิตสูง หรือแสดงความดีเด่นเหนือพ่อแม่มาก ก็จัดว่าเป็นลูกผสมที่ดีเหมาะแก่การใช้ทำพันธุ์ เขาก็จะกลับไปขยายสายพันธุ์พ่อแม่ให้มากขึ้นเพื่อใช้ในการผสมพันธุ์ ให้ได้เมล็ดพันธุ์ลูกผสมในชั่วแรกเป็นจำนวนมาก ๆ
<br />
<br />
ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นหลักเกณฑ์พื้นฐานในการสร้างพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank">ข้าวโพด</a>ลูกผสม ซึ่งการปฏิบัติจริงจะมีวิธีการที่ยุ่งยากและซับซ้อนกว่านี้มาก การผลิต<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank">ข้าวโพด</a>ลูกผสมอาจแบ่งได้เป็นหลายชนิดตามวิธีการผสม และจำนวนพันธุ์พ่อแม่ ดังนี้
<br />
<br />
ลูกผสมเดี่ยว (single cross) เช่น (พันธุ์ ก x พันธุ์ ข) เป็นลูกผสมที่ได้จากการผสมสายพันธุ์ที่ผสมตัวเอง 2 สายพันธุ์เข้าด้วยกัน เป็นลูกผสมที่มีความดีเด่นหรือเหนือกว่าพ่อแม่มาก และดีกว่า<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank">ข้าวโพด</a>ลูกผสมชนิดอื่น ๆ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพันธุ์ลูกผสมที่ให้ผลผลิตสูงที่สุด แต่เนื่องจากการผลิตเมล็ดทำได้ยากเพราะได้จากเมล็ดแม่พันธุ์ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ผสมตัวเอง จึงมักอ่อนแอปลูกยาก และมีเมล็ดน้อย ฉะนั้น จึงมีค่าใช้จ่ายในการผลิตเมล็ดสูง ไม่เหมาะสำหรับผลิตเป็นพันธุ์ปลูกในการค้า นอกจาก<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank">ข้าวโพด</a>หวานบางชนิดที่ต้องการขนาดเมล็ดสม่ำเสมอ และแก่พร้อม ๆ กันเท่านั้น จึงจะใช้พันธุ์ชนิดนี้
<br />
<br />
ลูกผสมสามทาง (three-way cross) เป็นลูกผสมระหว่างพันธุ์ลูกผสมเดี่ยว 1 คู่ (ก x ข) กับสายพันธุ์ที่ผสมตัวเอง 1 สายพันธุ์ (ค) เช่น พันธุ์ (ก x ข) x ค โดยมากมักใช้พันธุ์ ก x ข เป็นพันธุ์แม่ เพื่อให้ผลิตเมล็ดได้มากกว่าลูกผสมเดี่ยว
<br />
<br />
ลูกผสมคู่ (double cross) เป็นลูกผสมระหว่างผสมเดี่ยว 2 พันธุ์ เช่น (ก x ข) x (ค x ง) ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า เมื่อมีการค้นคิดการนำ<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank">ข้าวโพด</a>ลูกผสมขึ้นใหม่ ๆ นั้น ส่วนมากเป็นพันธุ์ลูกผสมเดี่ยวทั้งสิ้น การผลิตเมล็ดพันธุ์ทำได้ยาก มีราคาแพงจึงไม่อาจผลิตเป็นการค้าได้ จนกระทั่ง Dr. D. F. Jones ได้แนะวิธีการผลิต<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank">ข้าวโพด</a>ลูกผสมคู่นี้ขึ้นทำให้เมล็ดพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank">ข้าวโพด</a>ลูกผสมผลิตได้ง่าย และมีราคาถูกพอที่จะจำหน่ายเป็นการค้าได้ ทั้งนี้ เพราะเมล็ดที่ผลิตได้นั้นเกิดจากพันธุ์แม่ซึ่งเป็นพันธุ์ลูกผสมเดี่ยว จึงมีเมล็ดมากและแข็งแรง ปัจจุบันนี้การใช้<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank">ข้าวโพด</a>ลูกผสมคู่ได้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว ทั้งในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ และมีส่วนที่ทำให้ผลผลิตของประเทศเหล่านั้นทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกานั้น มีผู้ใช้เมล็ดพันธุ์ลูกผสมคู่เป็นจำนวนมาก
<br />
<br />
ลูกผสมซ้อน (multiple cross) ได้แก่ <a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx" target="_blank">ข้าวโพด</a>ลูกผสมระหว่างลูกผสมคู่ 2 พันธุ์ (ก x ข) x (ค x ง) x (จ x ฉ) x (ช x ซ) ทั้งนี้เพื่อให้การผลิตเมล็ดง่าย และปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่าลูกผสม 3 ประเภทที่กล่าวมาข้างต้น
<br />
<br />
ลูกผสมรวม (composite) หรือลูกผสมสังเคราะห์ (synthetic) เป็นลูกผสมระหว่างสายพันธุ์ที่ผสมตัวเองหลาย ๆ สายพันธุ์ หรืออาจจะเป็นลูกผสมชั่วอายุหลัง ๆ ของพันธุ์ลูกผสมซ้อน ซึ่งปลูกให้ผสมกันเองตามธรรมชาติ
<br />
<br />
<br />
<br />
อ้างอิง : http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00873<br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx">ข้าวโพด</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx">ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx">ข้าวโพดหวาน</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/corn.aspx">การปลูกข้าวโพด</a>|<a href="http://www.find4date.com./">Dating</a>|<a href="http://www.find4date.com./">หาแฟน</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/">ปุ๋ย</a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-53981769731748707842012-02-28T10:49:00.001+07:002012-03-06T14:40:00.802+07:00ป้องกัน กำจัดเชื้อรา ป้องกันโรคทางดิน<span id="lab_con_description">
</span><br />
<img align="left" alt="IMO จุลินทรีย์ บำรุงและป้องกันโรงสำหรับยางพารา" border="0" height="179" hspace="4" src="http://www.farmkaset.org/upload_files/IMO3L_B.jpg" vspace="4" width="150" /><br />
<h1>
IMO: ไอเอ็มโอ</h1>
<h2>
ป้องกัน กำจัด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">เชื้อรา</a> ป้องกันโรคทางดิน</h2>
ใช้ฉีดพ่นลงดิน เพื่อเพิ่มจุลินทรีย์ชนิดดีที่มีประสิทธิภาพลงในดิน
ปรับปรุงดินให้มีคุณภาพ ใช้ฉีดพ่น เพื่อย่อยสลายใบไม้ หรือซากพืช ซากสัตว์ในพื้นที่
เพื่อเร่งขบวนการย่อยสลายอินทรียวัตถุ
ให้กลายเป็นธาตุอาหารที่มีประโยชน์ในดินต่อๆไป<br />
<b><a href="http://www.farmkaset.org/retail_price_list.aspx" target="_blank">ราคา และวิธีการสั่งซื้อ<br />
</a>ไอเอ็มโอ<br />
จุลินทรีย์ประสิทธิภาพสูง</b><br />
<div>
<span style="color: #33cc00; font-size: small;">ดินดี ต้นใหญ่ โตไว ไกลโรค</span></div>
<table bgcolor="#FF6600">
<tbody>
<tr>
<td><span style="color: white;">*โปรดอ่าน สำหรับสินค้าสามรายการดังนี้ 1.IMO(ไอเอ็มโอ)
2.Bio-N(ไบโอ-เอ็น) และ 3.IC-KIT2(ชุดย่อยสลายตอซังฟางข้าว) กรณีจัดส่งทางไปรษณีย์
ทางฟาร์มเกษตรจะทำการใช้สติกเกอร์แผ่นเล็กๆ ปิดรูระบายอากาศที่ฝาด้านบนของขวด
ก่อนจัดส่งให่ท่าน เนื่องจากสินค้าทั้งสามรายการนี้ ประกอบด้วยจุลินทรีย์
แพ็คเกจจึงต้องมีรูระบายอากาศเล็กๆ ฉนั้นก่อนเราทำการจัดส่ง จึงต้องปิดรูเอาไว้
เพื่อความปลอดภัยในการขนส่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัว IC KIT2 ย่อยสลายฟางข้าว
เราจำเป็นต้องตัดพลาสติกหุ้มแพคเกจก่อน แล้วจึงจะใช้สติกเกอร์ปิดรูได้ </span>
</td>
</tr>
</tbody></table>
<h3>
มีขนาด 3 ลิตร และขนาด 20 ลิตร</h3>
- เพิ่มการย่อยสลายอินทรียวัตถุในดิน และเศษซากพืชซากสัตว์ในดิน<br />
- ป้องกันการเกิดโรคทางดิน ได้แก่ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">โรครากเน่า</a>โคนเน่า โรคเส้นดำ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">โรครากขาว</a> <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">โรคเหี่ยว</a><br />
- ป้องกัน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">โรครา</a> เช่น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ราแป้ง</a> ราใบจุด โรคใบร่วง - เพิ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดิน<br />
- ปรับสภาพดิน และพัฒนาโครงสร้างดิน - เพิ่มประสิทธิภาพการปลดปล่อยธาตุอาหารในดิน<br />
- เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน<br />
- ลดปัญหาการเกิดโรคทางดิน * ข้อสำคัญ ห้ามใช้ร่วมกับสารเคมี หรือสัมผัสกับสารเคมี
เนื่องจาก สารเคมีจะทำให้จุลินทรีย์ประสิทธิภาพสูงเสื่อมคุณภาพ และตาย<br />
<br />
<h3>
จุลินทรีย์ท้องถิ่น (IMO)</h3>
<br />
ในปัจจุบันนี้เกษตรกรได้หันมาผลิตพืชเชิงเดี่ยวเพื่อการค้าและการส่งออกมาก ยิ่งขึ้น
ซึ่งการปลูกพืชซ้ำ ๆ
กันในพื้นที่เดิมเป็นระยะเวลานานโดยไม่มีการบำรุงดินย่อมส่งผลให้ดินเสื่อม โทรม
ผลผลิตตกต่ำ ต้องใช้ปุ๋ยใช้ยาเพิ่มมากขึ้น
การพึ่งพาปัจจัยเหล่านี้ย่อมทำให้เกษตรกรเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เนื่องจากราคาผลผลิตถูกผูกขาดและกำหนดราคาโดยกลไกของระบบตลาดทุน
ซึ่งเกษตรกรรายย่อยไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อปัจจัยการผลิตมีราคาแพงขึ้น
ในขณะที่ปริมาณผลผลิตและราคาผลผลิตก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม
ย่อมทำให้เกษตรกรประสบกับภาวะขาดทุนและมีหนี้สินเพิ่มขึ้นมากทุกที
รวมทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตก็เสื่อมโทรมลง เนื่องจากการใช้ปุ๋ยและสารเคมีเหล่านี้
<br />
<br />
<b>ความหมายและความสำคัญของจุลินทรีย์ในท้องถิ่น </b>
<br />
<br />
ทั้งนี้ การนำจุลินทรีย์ท้องถิ่นหรือจุลินทรีย์พื้นบ้านมาปรับใช้กับระบบผลิตของ
เกษตรกรอาจเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวให้กับ เกษตรกรได้
เนื่องจากเป็นเทคนิคที่สอดคล้องกับสภาพของท้องถิ่นที่แตกต่างกันเพราะมีการ
นำเอาจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ภายในท้องถิ่นนั้น ๆ
มาทำเป็นหัวเชื้อสำหรับนำไปขยายและประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ
ช่วยปรับปรุงบำรุงดินให้ดีขึ้น สามารถปลูกพืชงอกงาม ให้ผลผลิตสูง
ทำให้ธรรมชาติเกิดความสมดุล โรคและแมลงศัตรูพืชลดลง
รวมทั้งเกษตรกรก็ไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีในการผลิต
ทำให้ช่วยลดต้นทุนการผลิต เกษตรกรสามารถพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น
คุณภาพชีวิตของเกษตรกรก็ดีขึ้นตามไปด้วย
<br />
<br />
โดยทั่วไป จุลินทรีย์ท้องถิ่นหรือจุลินทรีย์พื้นบ้านจะหมายถึง
จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในขอบเขตของระบบนิเวศนั้น ๆ ไม่ได้นำเข้ามาจากภายนอกระบบ
ภายนอกท้องถิ่น ภายนอกเมือง ภายนอกประเทศ หรือภายนอกภูมิภาคโลกนั้น ๆ
เรียกเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Indigenous Micro Organisms (IMO)
<br />
<br />
ไอ เอ็ม โอ (IMO) เป็นชื่อเฉพาะที่สมาคมเกษตรธรรมชาติแห่งประเทศเกาหลี
ใช้เรียกราใบไม้สีขาว ซึ่งเป็นจุลินทรีย์กลุ่มเล็ก ๆ ในกลุ่มราเมือก (Leaf Mold)
ที่อาศัยอยู่ภายในขอบเขตพื้นที่เพาะปลูก
เป็นสายพันธุ์ที่จะใช้ประโยชน์ในการทำการกสิกรรมไร้สารพิษได้ดี มีคุณภาพสูง
จุลินทรีย์ท้องถิ่นเหล่านี้มีประสิทธิภาพดีกว่าจุลินทรีย์ที่ได้จากน้ำหมัก อีเอ็ม
หรือ พ.ด. สูตรต่าง ๆ เนื่องจากเป็นจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์จำนวนมาก หลากหลายชนิด
สามารถปรับตัวและเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมของท้องถิ่นนั้น ๆ และประการสำคัญคือ
จุลินทรีย์ท้องถิ่นนั้น เกษตรกรไม่ต้องไปซื้อหาที่ไหนเพราะมีอยู่แล้วภายในท้องถิ่น
อีกทั้งสามารถผลิตใช้ได้เองไม่ยุ่งยาก สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างหลากหลาย
รวมทั้งสามารถพัฒนาคิดค้นสูตรที่เหมาะสมกับระบบการผลิตของตนเองได้อีกด้วย
<br />
<br />
<b>ประโยชน์ของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">เชื้อรา</a>ขาว (จุลินทรีย์ท้องถิ่น) </b>
<br />
<br />
1. ช่วยย่อยสลายเร็ว (ทำปุ๋ยหมัก)
<br />
2. ปรับความเป็นกรดด่างของดิน หรือ pH<br />
3. ทำให้ดินปลดปล่อยแร่ธาตุ<br />
4. ทำให้ดินโปร่ง มีออกซิเจน จุลินทรีย์ทำงานได้เต็มที่ มีประสิทธิภาพ<br />
5. ทำให้พืชต้านทานโรคที่เกิดจาก <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">เชื้อรา</a> โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส โรคที่เกิดจากไส้เดือนฝอย และดับกลิ่นเหม็นในคอกสัตว์
<br />
6. เพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน
<br />
<br />
<br />
<br />
<b>วิธีใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ท้องถิ่น IMO</b><br />
<br />
เวลาใช้ให้ผสมน้ำในอัตราส่วน IMO 1 ส่วน : น้ำ 1,000 ส่วน หรือ IMO 2 ช้อนโต๊ะ :
น้ำ 10 ลิตร แล้วคลุกผสมกับรำข้าว สัดส่วนที่เหมาะสมจะกำหนดได้ยาก เราต้องทดลองกำดู
ผสมแล้วกำไว้ เมื่อคลายมือแบออกก้อนรำผสมนั้นจะอยู่คงรูป
ถ้าส่วนผสมเหลวเกินไปเพราะน้ำมากไปเราจะต้องเติมรำเข้าไปคลุกอีกจนได้ลักษณะ
ที่ต้องการ
<br />
<br />
ส่วนผสมที่เราทำขึ้นนี้จะเป็นเชื้อดินหมักที่เราจะใช้สำหรับเอาไปโรยบนดิน
ที่ต้องการทำการเพาะปลูก เมื่อผสมแล้วเราต้องเอาฟางคลุมทิ้งไว้อีก 7-10 วัน
เชื้อดินหมักจะได้ที่ ฟางที่คลุมนั้นถ้าสานเป็นเสื่อฟางได้จะดีมาก<br />
<br />
จุลินทรีย์ IMO ชอบนอนใต้ฟาง กองเชื้อดินหมักนี้ต้องทำในร่ม ใต้หลังคา
อย่าให้ถูกฝนถูกน้ำ การใช้ประโยชน์ IMO โดยทั่วไปจะมี 2 ลักษณะใหญ่ ๆ ได้แก่<br />
<br />
1. เพื่อใช้ปรับโครงสร้างของดิน
โดยเอาดินในพื้นที่ของเราน้ำหนักเท่ากับเชื้อดินหมัก คลุกเคล้าให้เข้ากัน ทำเป็นกอง
เอาฟางคลุมไว้ดังเดิม ทิ้งไว้อีก 3
วันแล้วจึงนำไปใช้โรยในไร่นาเพื่อเตรียมดินทำการเพาะปลูกได้<br />
<br />
2. เพื่อใช้เป็นส่วนผสมกับปุ๋ยหมักให้มีคุณภาพสูงขึ้น โดยใช้เชื้อดินหมักประมาณ 1
กิโลกรัม ต่อน้ำประมาณ 200 ลิตรที่จะใช้ทำการหมัก และทำตามกระบวนการหมักทั่วไป<br />
<br />
โดยสรุปแล้วเทคนิคเกี่ยวกับจุลินทรีย์ท้องถิ่น
คงไม่ได้เป็นเพียงเทคนิคสำหรับการปรับปรุงบำรุงดินเท่านั้น
หากแต่ชวนให้ตระหนักถึงการปรับเปลี่ยนกระบวนความคิดความเชื่อของเกษตรกรไทย
จากการเป็น “เกษตรกรมือสอง” ที่คอยแต่พึ่งพาเทคโนโลยีของระบบทุน ให้กลับมาเป็น
“เกษตรกรมือหนึ่ง”
ที่สร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่เหมาะสมของตนเองขึ้นมาดังเช่นเกษตรกรใน อดีต
ที่ได้สร้างสรรค์ภูมิปัญญาขึ้นมามากมาย
รวมถึงแสดงให้เห็นถึงแนวทางในการปรับเปลี่ยนระบบการผลิต
จากการผลิตที่ถูกครอบงำโดยปัจจัยภายนอก
มาเป็นการผลิตที่สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรี<br />
<br />
แม้ในวันนี้การปรับเปลี่ยนกระบวนความคิดและระบบการผลิตของเกษตรกรไทยโดยรวม
ยังเป็นสิ่งที่ยากลำบาก
แต่เมื่อใดก็ตามที่ยังมีเกษตรบางส่วนเลือกที่ศึกษาภูมิปัญญาดังเดิมและพัฒนา
องค์ความรู้ที่สอดคล้องกับวิถีการผลิตและวัฒนธรรมของชุมชน
ก็เชื่อได้ว่าเกษตรกรเหล่านี้จะคอยเป็นแรงผลักดันอันมีค่าที่จะช่วยขับ
เคลื่อนขบวนการเกษตรกรไทยให้เดินไปสู่วิถีการเกษตรแบบยั่งยืนที่มีคุณค่า
พึ่งพาตัวเองได้ในที่สุด<br />
<br />
อ้างอิง : http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ราสีชมพู</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ราดำ</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ราแป้ง</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">โรครา</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">เชื้อรา</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">โรคเชื้อรา</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">ป้องกันเชื้อรา</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00369" target="_blank">แก้โรครา</a>|<a href="http://www.find4date.com./">Dating</a>|<a href="http://www.find4date.com./">หาแฟน</a>|<a href="http://www.farmkaset.org/">ปุ๋ย</a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-72118210817051338272012-02-24T10:54:00.000+07:002012-02-24T10:54:15.562+07:00ปุ๋ยน้ำ สำหรับข้าว<br />
<h2>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310" target="_blank">ปุ๋ยน้ำ</a> : <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310" target="_blank">ปุ๋ยน้ำสำหรับฉีดพ่นทางใบ</a> <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310" target="_blank">เร่งผลผลิตในนาข้าว</a></h2>
<h3>
ตรวจสอบราคาปัจจุบัน คลิกที่นี่ -> <a href="http://www.farmkaset.org/price_list.aspx" target="_blank">ใบรายการราคา (Price list)</a></h3>
<table align="center" border="0">
<tbody>
<tr>
<td valign="top" width="10%">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">
<img alt="ย่อยสลายอินทรีย์วัตถุ" src="http://www.farmkaset.org/images/allprd/Kit%20set2.jpg" style="border-width: 0px;" /></a></td>
<td valign="top" width="90%">
<h2>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310" target="_blank">ย่อยสลายตอซังฟางข้าว</a> <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310" target="_blank">ลดข้าวดีด</a>ได้มากกว่า 70%</h2>
<a href="http://store.farmkaset.net/index.php?page=shop.product_details&flypage=flypage.tpl&product_id=50&category_id=17&option=com_virtuemart&Itemid=45&vmcchk=1&Itemid=45" target="_blank">ไอซีคิท 2</a> : ฉีดพ่นและไถกลบ เพื่อ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">เร่งการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุ</a> ให้กลายเป็นธาตุ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">อาหารในดิน</a> ช่วยส่งเสริม<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">การเพิ่มผลผลิตข้าว</a> ลดการใช้ปุ๋ย
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">สภาพดินดีขึ้น</a>ทุกๆปี<br />
<br />
คุณสมบัติจำเพาะ :
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ย่อยสลายอินทรียวัตถุในดิน</a>,
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ปรับปรุงดิน</a>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ทำให้ดินร่วนซุย</a>,
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">เพิ่มธาตุอาหารในดิน</a>,
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ป้องกันเชื้อโรคทางดิน</a><br />
<br />
วิธีการใช้ และอัตราส่วนผสม<br />
ไอซีคิท 1 ลิตร ผสมกับน้ำ 200 ลิตร
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ฉีดพ่น</a>ได้ 1 ไร่ จากนั้นทำการไถกลบ</td>
</tr>
<tr>
<td valign="top" width="10%">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">
<img alt="ข้าวเขียว ด้วยคู่นาข้าวเขียวขจี" src="http://www.farmkaset.org/images/allprd/Verdant.jpg" style="border-width: 0px;" /></a></td>
<td valign="top" width="90%">
<h2>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ปุ๋ยน้ำ : เร่งข้าวให้เขียวขจี</a></h2>
<a href="http://store.farmkaset.net/index.php?page=shop.product_details&flypage=flypage.tpl&product_id=54&category_id=15&option=com_virtuemart&Itemid=45" target="_blank">ปุ๋ยน้ำ : คู่นาข้าวเขียวขจี</a> : ฉีดหลังปักดำ หรือ หลังหว่านประมาณ 20 วัน ทำให้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ข้าวแตกกอดี</a> ลำต้นแข็งแรงปลอดภัยต่อศัตรูพืช และ
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">เขียวนาน</a>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ปุ๋ยน้ำ</a> + บูสเตอร์สีเงิน บำรุงต้น<br />
<br />
คุณสมบัติจำเพาะ<br />
บูสเตอร์ สีเงิน : อุดมด้วย Fe, Zn ทำให้ใบเขียว ลำต้นแข็งแรง<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ปุ๋ยน้ำสำหรับข้าว</a> : ประกอบด้วยธาตุอาหาร N (ไนโตรเจน) P (ฟอสฟอรัส) K (โพแทสเซียม) Ca (แคลเซียม) Mg (แมกนีเซียม) S (กำมะถัน) Zn (สังกะสี) Fe (เหล็ก) Cu (ทองแดง) Mn (แมงกานีส) Mo (โมลิบดีนัม) Cl (คลอรีน) B (โบรอน) NI (นิกเกิล) พร้อมจุลธาตุอาหารอื่นๆ รวมทั้งกรดอะมิโนครบถ้วนตามที่พืชต้องการ เลขที่วิเคราะห์ 05.01023.369 โดยสถาบันวิจัย Absolute Analytical Inc. รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา<br />
<br />
วิธีใช้ และอัตราส่วนการผสม (หนึ่งชุดใช้ได้ประมาณ 5 ไร่)<br />
บูสเตอร์ สูตรสีเงิน 40 ซีซี (3 ฝา) +
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ปุ๋ยน้ำสำหรับข้าว</a> 40 ซีซี (3 ฝา) ผสมกับน้ำ 20 ลิตร
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ฉีดพ่นในนาข้าว</a> หนึ่งไร่ฉีดประมาณ 80 ลิตร<br />
[<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ฉีดพ่น</a>ตอนไม่มีแดด ช่วงก่อนแดดออก 5:00 น. - 9:00 น. หรือ หลังแดดตก เวลา 16:00 น. - 20:00 น. ไม่ควร<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ฉีดพ่น</a>ตอนแดดจัด]</td>
</tr>
<tr>
<td valign="top" width="10%">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">
<img alt="ข้าวรวงยาว ด้วยคู่นาข้าวรวงยาว" src="http://www.farmkaset.org/images/allprd/long%20spike.jpg" style="border-width: 0px;" /></a></td>
<td valign="top" width="90%">
<h2>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ปุ๋ยน้ำ : เร่งข้าวให้รวงยาว ฉีดตอนข้าวตั้งท้อง</a></h2>
<a href="http://store.farmkaset.net/index.php?page=shop.product_details&flypage=flypage.tpl&product_id=55&category_id=15&option=com_virtuemart&Itemid=45&vmcchk=1&Itemid=45" target="_blank">ปุ๋ยน้ำ : คู่นาข้าวรวงยาว</a> : รวงยาว ลมเบ่ง กระชากรวง ด้วย
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ปุ๋ยน้ำ</a> + บูสเตอร์สีแดง
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">บำรุงดอก</a><br />
<br />
คุณสมบัติจำเพาะ<br />
บูสเตอร์ สีแดง : ส่งเสริมให้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">รวงข้าวสมบูรณ์</a> เตรียมความพร้อม<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">สำหรับเร่งรวง</a> ปรับความสมดุลให้ข้าวพร้อมที่จะออกเมล็ดได้อย่างเต็มที่<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ปุ๋ยน้ำสำหรับข้าว</a> : ประกอบด้วยธาตุอาหาร N (ไนโตรเจน) P (ฟอสฟอรัส) K (โพแทสเซียม) Ca (แคลเซียม) Mg (แมกนีเซียม) S (กำมะถัน) Zn (สังกะสี) Fe (เหล็ก) Cu (ทองแดง) Mn (แมงกานีส) Mo (โมลิบดีนัม) Cl (คลอรีน) B (โบรอน) NI (นิกเกิล) พร้อมจุลธาตุอาหารอื่นๆ รวมทั้งกรดอะมิโนครบถ้วนตามที่พืชต้องการ เลขที่วิเคราะห์ 05.01023.369 โดยสถาบันวิจัย Absolute Analytical Inc. รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา<br />
<br />
วิธีใช้ และอัตราส่วนการผสม (หนึ่งชุดใช้ได้ประมาณ 5 ไร่)<br />
บูสเตอร์ สูตรสีแดง 40 ซีซี (3 ฝา) +
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ปุ๋ยน้ำสำหรับข้าว</a> 40 ซีซี (3 ฝา) ผสมกับน้ำ 20 ลิตร
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ฉีดพ่นในนาข้าว</a> หนึ่งไร่ฉีดประมาณ 80 ลิตร<br />
[<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ฉีดพ่น</a>ตอนไม่มีแดด ช่วงก่อนแดดออก 5:00 น. - 9:00 น. หรือ หลังแดดตก เวลา 16:00 น. - 20:00 น. ไม่ควร<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ฉีดพ่น</a>ตอนแดดจัด]</td>
</tr>
<tr>
<td valign="top" width="10%">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">
<img alt="ข้าวเมล็ดเต็ม ด้วยคู่นาข้าวเมล็ดเต็ม" src="http://www.farmkaset.org/images/allprd/full%20grain.jpg" style="border-width: 0px;" /></a></td>
<td valign="top" width="90%">
<h2>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ปุ๋ยน้ำ : เร่งข้าวให้ข้าวเมล็ดเต็ม ฉีดตอนข้าวกำลังเป็นน้ำนม</a></h2>
<a href="http://store.farmkaset.net/index.php?page=shop.product_details&flypage=flypage.tpl&product_id=56&category_id=15&option=com_virtuemart&Itemid=45" target="_blank">ปุ๋ยน้ำ : คู่นาข้าวเมล็ดเต็ม</a> :
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">เมล็ดเต็ม</a> เร่งเต่ง
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">เร่งรวง</a>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">เร่งน้ำหนัก</a>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ป้องกันข้าวขาดคอรวง</a>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ปุ๋ยน้ำ</a> + บูสเตอร์สีส้ม
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">บำรุงผล</a><br />
<br />
คุณสมบัติจำเพาะ<br />
บูสเตอร์ สีส้ม :
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">เร่งการสะสมอาหาร</a>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">เร่งน้ำหนักเมล็ดข้าว</a> ทำให้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ข้าวเมล็ดเต็ม</a>และมีน้ำหนักดี<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ปุ๋ยน้ำสำหรับข้าว</a> : ประกอบด้วยธาตุอาหาร N (ไนโตรเจน) P (ฟอสฟอรัส) K (โพแทสเซียม) Ca (แคลเซียม) Mg (แมกนีเซียม) S (กำมะถัน) Zn (สังกะสี) Fe (เหล็ก) Cu (ทองแดง) Mn (แมงกานีส) Mo (โมลิบดีนัม) Cl (คลอรีน) B (โบรอน) NI (นิกเกิล) พร้อมจุลธาตุอาหารอื่นๆ รวมทั้งกรดอะมิโนครบถ้วนตามที่พืชต้องการ เลขที่วิเคราะห์ 05.01023.369 โดยสถาบันวิจัย Absolute Analytical Inc. รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา<br />
<br />
วิธีใช้ และอัตราส่วนการผสม (หนึ่งชุดใช้ได้ประมาณ 5 ไร่)<br />
บูสเตอร์ สูตรสีส้ม 40 ซีซี (3 ฝา) +
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ปุ๋ยน้ำสำหรับข้าว</a> 40 ซีซี (3 ฝา) ผสมกับน้ำ 20 ลิตร
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00310">ฉีดพ่นในนาข้าว</a> หนึ่งไร่ฉีดประมาณ 80 ลิตร<br />
[ฉีดพ่นตอนไม่มีแดด ช่วงก่อนแดดออก 5:00 น. - 9:00 น. หรือ หลังแดดตก เวลา 16:00 น. - 20:00 น. ไม่ควรฉีดพ่นตอนแดดจัด]</td>
</tr>
</tbody>
</table>
<h1>
<span style="color: #ff9900;">สั่งซื้อ โทรหาฟาร์มเกษตร โทร : 089-4599003</span></h1>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-4328544373388056832012-02-23T10:58:00.000+07:002012-02-23T10:58:47.696+07:00ปุ๋ยน้ำสำหรับอ้อยโดยเฉพาะ เพิ่มผลผลิตได้สูง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00308" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;" target="_blank imageanchor="><img border="0" src="http://www.farmkaset.org/images/allprd/amino.jpg" /></a>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00308" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;" target="_blank imageanchor="><img border="0" src="http://www.farmkaset.org/images/allprd/SilverBooster.jpg" /></a>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00308" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;" target="_blank imageanchor="><img border="0" src="http://www.farmkaset.org/images/allprd/Bio%20N.jpg" /></a>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00308" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;" target="_blank imageanchor="><img border="0" src="http://www.farmkaset.org/images/allprd/OrangeBooster.jpg" /></a>
</div>
<br />
<b><a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00308">ปุ๋ยน้ำสำหรับอ้อยโดยเฉพาะ เพิ่มผลผลิตได้สูง</a> </b> <br />
ให้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00308">ปุ๋ยน้ำกับอ้อย</a>ตามช่วงอายุ โดยการ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00308">ฉีดพ่นทางใบ</a> หรือให้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00308">ปุ๋ยน้ำผ่านทางระบบน้ำหยด</a>ก็ได้<br />
คุณสมบัติจำเพาะ : อุดมด้วย K, Ca, B เพิ่มความหวาน ลำต้น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00308">อ้อย</a>สมบูรณ์ เพิ่มผลผลิต<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00308">อ้อย</a>, เพิ่มการสร้างเนื้อเยื่อสำหรับการเก็บน้ำตาล, เพิ่มคุณภาพของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00308">อ้อย</a> และเพิ่มค่าความหวานของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00308">อ้อย</a> (CCS)
<br /><br />
รายระเอียดเพิ่มเติม
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00308" target="_blank">www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00308</a>
<br />
--------------------------------------------------------------------<br />
เกี่ยวกับ ฟาร์มเกษตร (ผู้ประกาศขายสินค้านี้)<br />
เว็บไซต์
<a href="http://www.farmkaset.org/" target="_blank">www.FarmKaset.ORG</a> <br />
ติดต่อฟาร์มเกษตร<br />
สั่งสินค้า<br />
โทร: 089-4599003<br />
FAX: 045-511273<br />
e-mail: FarmKaset@gmail.com<br />
FarmKaset.ORG เป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานอุทยานวิทยาศาสตร์ (iTAP) , สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NiA) , Asean SME และเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ กับองค์กรที่มีความน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง
ลูกค้าจึงสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา ว่า FarmKaset.ORG ตั้งอยู่ที่ใด ลูกค้าจึงสามารถมั่นใจได้ เมื่อทำการซื้อขายสินค้าต่างๆ จาก FarmKaset.ORG <br />
เกี่ยวกับฟาร์มเกษตรโดยละเอียดกรุณาดูที่ <a href="http://www.farmkaset.org/contact_us.aspx" target="_blank">www.farmkaset.org/contact_us.aspx</a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-48253199431590350082012-02-20T11:21:00.000+07:002012-02-20T11:21:18.043+07:00สินค้าเกษตร ไอ.เอส.กำจัดเชื้อรา<h3>
<u>สินค้าเกษตร ไอ.เอส.กำจัดเชื้อรา</u></h3>
<span id="lab_con_detail">กำจัดเชื้อรา
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00370">ใบไหม้</a> ใบจุด ใบขีด ราสนิม</span>
<span id="lab_con_description">
</span><br />
<span id="lab_con_description"><span style="color: #ff6600; font-size: 14pt;"><b>
<img align="left" alt="กำจัด เชื้อรา ในนาข้าว มันสำปะหลัง" border="0" height="187" hspace="4" src="http://www.farmkaset.org/upload_files/IS3L_B.jpg" vspace="4" width="150" />ไอ.เอส. สารอินทรีย์ยับยั้งเชื้อรา ปลอดสารพิษ
</b></span>
</span><br />
<span id="lab_con_description">
<h2>
<span style="color: #339900;">สกัดจากธรรมชาติ 100%</span></h2>
<a href="http://www.farmkaset.org/retail_price_list.aspx" target="_blank">
<span style="color: #000033; font-size: medium;">ราคาและวิธีการสั่งซื้อ</span></a><br />
บรรจุขวดละ 3 ลิตร<br />
<br />
<span style="color: #ff6600; font-size: 14pt;"><b>ตราดับเบิ้ลชีลด์</b></span><br />
<b><span style="color: #ff6600;">ขนาด 3 ลิตร</span></b><br />
<b><span style="color: #339900; font-size: 14pt;"><i>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00370">ใบไหม้
</a>ใบจุด
ใบขีดสีน้ำตาล ราสนิม</i></span></b>
<br />
- สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราสาเหตุโรคพืช
<br />
- ควบคุมด้วยประจุไฟฟ้า (ION Control)
ทำให้สภาพแวดล้อมบนใบพืชไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา<br />
- สามารถฉีดพ่นได้ในช่วงก่อนการเก็บเกี่ยวโดยไม่มีสารพิษตกค้างปลอดภัยต่อผู้ใช้และผู้บริโภค<br />
- เคลือบผิวใบได้ดี โดยไม่ต้องผสมสารจับใบ
<h3>
<span style="color: #3366ff;">ปลอดภัยต่อผู้ใช้และผู้บริโภค</span></h3>
สกัดจากสารอินทรีย์ธรรมชาติทั้งหมด
สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราโดยอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงอันทันสมัย
"การควบคุมด้วยประจุไฟฟ้า" (Ion Control)
ซึ่งทำให้สภาพแวดล้อมบนใบพืชไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต
และการแพร่กระจายของเชื้อรา ด้วยเหตุนี้ราจึงลดลง และหมดไปในที่สุด
รวมทั้งสามารถฉีดพ่นได้ในช่วงก่อนเก็บเกี่ยว โดยไม่มีสารพิษตกค้าง
ปลอดภัยต่อผู้ใช้และผู้บริโภค<br />
<h3>
<span style="color: #3366ff;">คุณประโยชน์</span></h3>
1. ควบคุมและยับยั้งโรคพืชดังนี้<br />
1.1 โรคราสนิม (Rust)<br />
1.2 โรค<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00370">ใบไหม้</a> (Rice Blast)<br />
1.3 โรคใบจุดสีน้ำตาล (Brown Spot)<br />
1.4 โรคใบขีดสีน้ำตาล (Narrow Brown Spot)<br />
2. ป้องกันการลุกลามของแผล ที่เกิดจากการเข้าทำลายของเชื้อรา<br />
3. ลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค<br />
4. เก็บรักษาผลผลิตหลังการเก็บเกี่ยวได้นานขึ้น<br />
5. ไม่มีจุลินทรีย์เป็นส่วนประกอบ<br />
6. มีความต้านทานโรคเพิ่มขึ้น เมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง<br />
<h3>
<span style="color: #3366ff;">วิธีการใช้</span></h3>
สามารถฉีดพ่นโดยไม่ต้องผสมสารจับใบ<br />
<table bgcolor="#cccccc" cellpadding="4">
<tbody>
<tr>
<td bgcolor="#ffffff">ป้องกันการเกิดโรค</td>
<td bgcolor="#ffffff">ทุก 7 วัน</td>
<td bgcolor="#ffffff">50 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร</td>
</tr>
<tr>
<td bgcolor="#ffffff">พบอาการของโรค</td>
<td bgcolor="#ffffff">ทุก 3 วัน</td>
<td bgcolor="#ffffff">100 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร</td>
</tr>
</tbody></table>
เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ควรใช้ร่วมกับ ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ นาโนอะมิโน ตรานกอินทรีย์คู่<br />
</span>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-21216628787942008162012-02-17T16:25:00.002+07:002012-02-17T16:25:57.112+07:00สินค้าเกษตร รับเบอร์ แม็ก รักษาหน้ายางจากฟาร์มเกษตร<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;" target="_blank"><img border="0" src="http://www.farmkaset.org/upload_files/rubber_max_pic.jpg" /></a>
<br />
สินค้าเกษตร <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">รับเบอร์ แม็ก รักษาหน้ายาง</a>จากฟาร์มเกษตร<br />
<br />
วิธีแก้ปัญหาน้ำยางไม่ไหลใน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">ยางพารา</a>ที่ให้ผลผลิตแล้ว<br />
น้ำ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">ยาง</a>ไม่ ไหลหรือไหลกระปริดกระปรอยน้อยกว่าเดิมจากที่เคยผลิตได้ในแต่ละครั้ง เนื่องจากต้น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">ยางพารา</a>ติดเชื้อโรคหรือที่เรียกกันว่า<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">ยางพารา</a>เป็นโรคและโรคที่ ว่านี้เกิดจากการเข้าลายของเชื้อรา เบื้องต้นจะมีอาการใบจุดสีเหลืองมีจุดสีน้ำตาลอยู่กึ่งกลางและค่อยๆขยายวง กว้างออกไปเรื่อยๆเหมือนใบไหม้ นอกจากนี้ยังมีเพลี้ยแป้งเป็นพาหะในการแพร่กระจายของเชื้อราดังกล่าว <br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">รับเบอร์ แม็กซ์</a> - <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">อาหารเสริมทาหน้ายาง</a><br />
ตรา นกอินทรีคู่<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">น้ำยาทาหน้ายาง</a> รับเบอร์ แม็ก <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">รักษาหน้ายาง</a> ช่วยให้หน้า<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">ยาง</a>นิ่ม กรีดง่าย <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">ยาง</a>หน้าตาย ใช้รับเบอร์เม็ก ทาเพื่อบำรุงบริเวณ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">หน้ายาง</a> ช่วย<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">รักษาหน้ายาง</a> <br />
ด้วย เทคโนโลยี การวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเรา เราได้คิดค้น และพัฒนาผลิตภัณฑ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">สำหรับทาหน้ายาง</a> เพื่อตอบสนองความต้องการของเกษตรกรในการ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">เพิ่มปริมาณน้ำยาง</a> โดยการสกัดกรดอะมิโน และธาตุอาหารที่จำเป็นในการส่งเสริมกระบวนการสร้าง<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">น้ำยาง</a> ในรูปที่<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">ต้นยาง</a>สามารถนำไปใช้ได้ทันที และเห็นผลใน 7 วัน โดยที่ไม่ทำให้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">หน้ายาง</a>เสียหาย รวมทั้งยังมีส่วนประกอบที่มีคุณสมบัติในการป้องกันการเข้าทำลายหน้ายางจากเชื้อรา ปลอดภัยแก่เกษตรกรผู้ใช้ <br />
* เพิ่มขนาดท่อ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">น้ำยาง</a> เเรงดันในท่อ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">น้ำยาง</a><br />
* <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">หน้ายาง</a>นิ่มกรีดง่าย ป้องกันโรคที่เกิดกับ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">หน้ายาง</a><br />
* เร่งกลไกทางกายภาพในการไหลของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">น้ำยาง</a><br />
* ไม่ใช้ฮอร์โมนในการกระตุ้น<br />
* ไม่ทำให้สมดุลของฮอร์โมนพืชเปลี่ยนแปลง<br />
รายระเอียดเพิ่มเติม <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356" target="_blank">www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00356</a> <br />
----------------------------------<br />
เกี่ยวกับ ฟาร์มเกษตร (ผู้ประกาศขายสินค้านี้)<br />
เว็บไซต์ <a href="http://www.farmkaset.org/" target="_blank">www.FarmKaset.ORG </a><br />
ติดต่อฟาร์มเกษตร<br />
สั่งสินค้า<br />
โทร: 089-4599003<br />
FAX: 045-511273<br />
e-mail: FarmKaset@gmail.com<br />
FarmKaset.ORG เป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานอุทยานวิทยาศาสตร์ (iTAP) , สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NiA) , Asean SME และเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ กับองค์กรที่มีความน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง ลูกค้าจึงสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา ว่า FarmKaset.ORG ตั้งอยู่ที่ใด ลูกค้าจึงสามารถมั่นใจได้ เมื่อทำการซื้อขายสินค้าต่างๆ จาก FarmKaset.ORG เกี่ยวกับฟาร์มเกษตรโดยละเอียดกรุณาดูที่ <a href="http://www.farmkaset.org/contact_us.aspx" target="_blank">www.farmkaset.org/contact_us.aspx</a> <br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-13371448190622570052012-02-14T15:44:00.000+07:002012-02-14T15:44:26.179+07:00น้ำยาแช่ท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a 1"="" href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00239" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;" target="_blank imageanchor="><img border="0" src="http://www.farmkaset.org/upload_files/goodsoke.jpg" /></a></div>
<br />
สินค้าเกษตร <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00239" target="_blank">น้ำยาแช่ท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง</a> จากฟาร์มเกษตร <br />
เพิ่่มอาหารสะสมใน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00239" target="_blank">ท่อนพันธุ์</a> กระตุ้น และส่งเสริมการแตกราก เพิ่มเปอร์เซ็นต์การงอก ป้องกันโรคที่ติดมากับท่อนพันธุ์ <br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00239" target="_blank">น้ำยาแช่ท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง กู๊ดโซค</a><br />
* อาหารเสริมสำหรับแช่ท่อนพันธุ์ ปลอดสารพิษ <br />
* เร่งการแตกราก ป้องกันโรค <br />
* เพิ่่มอาหารสะสมใน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00239" target="_blank">ท่อนพันธุ์</a><br />
* กระตุ้น และส่งเสริมการแตกราก<br />
* เพิ่มเปอร์เซ็นต์การงอก ขนาด และจำนวนของราก<br />
* ป้องกันโรคที่ติดมากับ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00239" target="_blank">ท่อนพันธุ์</a><br />
<br />
รายระเอียดเพิ่มเติม <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00239" target="_blank">http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00239</a><br />
--------------------------------------------------------------------<br />
เกี่ยวกับ ฟาร์มเกษตร (ผู้ประกาศขายสินค้านี้)<br />
เว็บไซต์
<a href="http://www.farmkaset.org/" target="_blank">www.FarmKaset.ORG</a> <br />
ติดต่อฟาร์มเกษตร<br />
สั่งสินค้า<br />
โทร: 089-4599003<br />
FAX: 045-511273<br />
e-mail: FarmKaset@gmail.com<br />
FarmKaset.ORG เป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานอุทยานวิทยาศาสตร์ (iTAP) , สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NiA) , Asean SME และเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ กับองค์กรที่มีความน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง
ลูกค้าจึงสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา ว่า FarmKaset.ORG ตั้งอยู่ที่ใด ลูกค้าจึงสามารถมั่นใจได้ เมื่อทำการซื้อขายสินค้าต่างๆ จาก FarmKaset.ORG
เกี่ยวกับฟาร์มเกษตรโดยละเอียดกรุณาดูที่ <a href="http://www.farmkaset.org/contact_us.aspx" target="_blank">www.farmkaset.org/contact_us.aspx</a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-83367903139007461442012-02-03T10:12:00.000+07:002012-02-03T10:12:41.537+07:00ข้าวหอมมะลิ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824" target="_blank"><img border="0" src="http://www.farmkaset.org/upload_files/550203-Rice-299.jpg" /></a>
<br />
<h1>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824" target="_blank"><u>ข้าวหอมมะลิ</u></a></h1>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824" target="_blank"><b>ข้าวหอมมะลิ</b></a> (Thai jasmine rice) (Official name "Thai Hom Mali") เป็นสายพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ที่มีถิ่นกำเนิดในไทย มีลักษณะกลิ่นหอมคล้ายใบเตย เป็นพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ที่ปลูกที่ไหนในโลกไม่ได้คุณภาพดีเท่ากับปลูกในไทย และเป็นพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ที่ทำให้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ไทยเป็นสินค้าส่งออกที่รู้จักไปทั่วโลก <br />
<br />
<b>ประวัติ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824" target="_blank">ข้าวหอมมะลิ</a></b> <br />
<br />
เมื่อปี พ.ศ. 2497 นายสุนทร สีหเนิน พนักงาน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a> จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้รวบรวมพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>หอมในเขตอำเภอบางคล้า ได้จำนวน 199 รวง แล้ว ดร.ครุย บุณยสิงห์ (ผู้อำนวยการกองบำรุงพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ในขณะนั้น)ได้ส่งไปปลูกคัดพันธุ์บริสุทธิ์และเปรียบเทียบพันธุ์ที่ สถานีทดลอง<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>โคกสำโรง (ขณะนี้เป็นสถานี<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ลพบุรี) ดำเนินการคัดพันธุ์โดยนักวิชาการเกษตรชื่อนายมังกร จูมทอง ภายใต้การดูและของนายโอภาส พลศิลป์ หัวหน้าสถานีทดลอง<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>โคกสำโรง <br />
จนกระทั่งปี พ.ศ. 2502 ได้พันธุ์บริสุทธิ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ขาวดอกมะลิ 4-2-105 และคณะกรรมการพิจารณาพันธุ์ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ได้อนุมัติให้เป็นพันธุ์ส่งเสริมแก่เกษตรกร เมื่อ วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 โดยเกษตรกรทั่วไปเรียกว่า [ขาวดอกมะลิ 105] ต่อมาได้มีการปรับปรุงพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a> [ขาวดอกมะลิ 105] จนได้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>พันธุ์ [กข 15] ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ประกาศให้ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ทั้ง 2 พันธุ์เป็น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824" target="_blank"><u>ข้าวหอมมะลิ</u></a>ไทย <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824" target="_blank"><b>ข้าวหอมมะลิ</b></a>ในปัจจุบัน <br />
<br />
ที่นิยมปลูกและบริโภคกันอย่างแพร่หลายคือพันธุ์ ขาวดอกมะลิ 105 และ พันธุ์ กข.15 ซึ่งปัจจุบันราคา<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824" target="_blank"><u>ข้าวหอมมะลิ</u></a>ราคาตกต่ำลงมาเรื่อยๆ เนื่องจาก <a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>พันธุ์ปทุมธานี1 ให้ผลผลิตสูงกว่า<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824" target="_blank"><u>ข้าวหอมมะลิ</u></a> 105 โดยผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 80-100 ถัง/ไร่ ปลูกได้หลายครั้งต่อปี และสามารถปลูกได้ดีในที่ลุ่มบริเวณที่ราบภาคกลาง ขณะที่<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824" target="_blank"><u>ข้าวหอมมะลิ</u></a> 105 นั้นจะให้ผลผลิตต่อไร่เพียง 30-40 ถัง/ไร่ และปลูกได้ดีในบางพื้นที่เท่านั้น ทางรัฐบาลจึงส่งเสริมให้ชาวนา เน้นการปลูก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>พันธุ์ปทุมธานี 1 มากกว่า พันธุ์ปทุมธานี 1 แม้ว่าจะมีความหอมคล้าย<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824" target="_blank"><u>ข้าวหอมมะลิ</u></a> แต่ไม่ใช่<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824" target="_blank"><u>ข้าวหอมมะลิ</u></a> <br />
<br />
<b>ลักษณะจำเพาะของกลิ่น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824" target="_blank">ข้าวหอมมะลิ</a></b> <br />
<br />
ความหอมของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824" target="_blank"><u>ข้าวหอมมะลิ</u></a> เกิดจากสารระเหยชื่อ 2-acetyl-1-pyroline ซึ่งเป็นสารที่ระเหยหายไปได้ การรักษาความหอมของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824" target="_blank"><u>ข้าวหอมมะลิ</u></a>ให้คงอยู่นานนั้นจึงควรเก็บ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ไว้ในที่เย็น อุณหภูมิประมาณ 15 องศาเซลเซียส เก็บ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>เปลือกที่มีความชื้นต่ำ 14-15% ลดความชื้น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>เปลือกที่อุณหภูมิไม่สูงเกินไป นักการเกษตรกรทางท่านกล่าวว่า การใช้ปุ๋ยโปตัสเซียมในการปลูก มีแนวโน้มช่วยให้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>มีกลิ่นหอมมากขึ้น (ยังไม่มีข้อมูลยืนยัน) <br />
<br />
<b>เกรดในการจำหน่าย</b> <br />
<br />
กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้แบ่งชั้นของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824" target="_blank"><u>ข้าวหอมมะลิ</u></a>ดังนี้ <br />
1. <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824" target="_blank"><u>ข้าวหอมมะลิ</u></a> ชั้น 1 (ดีพิเศษ) มี<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ชนิดอื่นปนได้ไม่เกิน 5% <br />
2. <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824" target="_blank"><u>ข้าวหอมมะลิ</u></a> ชั้น 2 (ดี) มี<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ชนิดอื่นปนได้ไม่เกิน 15% <br />
3. <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824" target="_blank"><u>ข้าวหอมมะลิ</u></a> ชั้น 3 (ธรรมดา) มี<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ชนิดอื่นปนได้ไม่เกิน 30% <br />
<br />
<b>การส่งออก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824" target="_blank">ข้าวหอมมะลิ</a></b> <br />
<br />
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2470 เป็นต้นมา ปริมาณการส่งออก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงระดับ 2 ล้านตันในปี พ.ศ. 2520 (ช่วง 50 ปี) หรือมีอัตราเพิ่มเฉลี่ย 1 ล้านตันต่อ 25 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521-2545 การส่งออก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>เพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านตัน หรือเฉลี่ย 1 ล้านตันทุก ๆ 5 ปี การส่งออก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะนี้ดำเนินไปพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของประชากรจาก 1ล้านคนในปี พ.ศ. 2470 มาเป็น 63 ล้านคนในปี พ.ศ. 2547 และพื้นที่ปลูก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ของไทยก็เพิ่มขึ้น 16 ล้านไร่ในปี พ.ศ. 2470 มา เป็น 61 ล้านไร่ในปี พ.ศ. 2547 <br />
<br />
การส่งออก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ไทยในปัจจุบัน เป็นการค้าแบบเสรีในลักษณะที่ผู้ส่งออกตกลงกับผู้ซื้อใน ต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีลักษณะการส่งออก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>แบบรัฐบาลต่อรัฐบาล แต่ก็ไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับเอกชน โดยในปี พ.ศ. 2544 เอกชนส่งออกถึง 7,237,708 ตัน คิดเป็น 96.24 เปอร์เซ็นต์ของการส่งออก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ทั้งหมด ขณะที่รัฐบาลส่งออกเพียง 282,970 ตัน คิดเป็น 3.76 เปอร์เซ็นต์ของการส่งออก และในปี พ.ศ. 2546 ปริมาณการส่งออก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ไทยทำสถิติสูงที่สุดถึง 7.597 ล้านตัน ทำรายได้ให้ประเทศ 76,368 ล้านบาท โดยส่งไปขายทั่วโลก 173 ประเทศ ตลาดหลักของ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/category.aspx?content=10" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ไทยอยู่ในทวีปเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง อเมริกา ยุโรป และโอเชียเนีย ตามลำดับ
<br />
<br />
อ้างอิง : <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824" target="_blank">www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00824</a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-63966931502399405272012-02-02T11:03:00.003+07:002012-02-02T11:06:50.392+07:00สินค้าเกษตร ไอ.เอส.ไรซ์ ยับยั้งเชื้อราในนาข้าว จากฟาร์มเกษตร<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00355" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;" target="_blank"><img border="0" src="http://www.farmkaset.org/upload_files/IS-Rice.jpg" /></a>
<br />
<b>สินค้าเกษตร ไอ.เอส.ไรซ์ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00355" target="_blank">ยับยั้งเชื้อราในนาข้าว</a> จากฟาร์มเกษตร
</b><br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00355" target="_blank">ป้องกันเชื้อรา</a> ปลอดสารพิษ<br />
ไอ.เอส.ไรท์ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00355" target="_blank">สารอินทรีย์ยับยั้งเชื้อรา</a> ปลอดสารพิษ<br />
ตราดับเบิ้ลชีลด์<br />
ช่วย<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00355" target="_blank">ยับยั้งเชื้อราในนาข้าว</a> สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราสาเหตุโรคพืช ปลอดภัยต่อคน สัตว์เลี้ยง <br />
ด้วย ไอ.เอส.ไรซ์<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00355" target="_blank">ยับยั้งเชื้อรา</a> ในนาข้าว<br />
ใบไหม้ ใบจุด ใบขีด ราสนิม<br />
- สามารถ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00355" target="_blank">ยับยั้ง</a>การเจริญเติบโตของเชื้อราสาเหตุโรคพืช<br />
- ควบคุมด้วยประจุไฟฟ้า (ION Control) ทำให้สภาพแวดล้อมบนใบพืชไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา<br />
- สามารถฉีดพ่นได้ในช่วงก่อนการเก็บเกี่ยวโดยไม่มีสารพิษตกค้าง ปลอดภัยต่อผู้ใช้และผู้บริโภค<br />
- เคลือบผิวใบได้ดี โดยไม่ต้องผสมสารจับใบ<br />
รายระเอียดเพิ่มเติม <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00355" target="_blank">www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00355</a> <br />
--------------------------------------------------------------------<br />
เกี่ยวกับ ฟาร์มเกษตร (ผู้ประกาศขายสินค้านี้)<br />
เว็บไซต์ <a href="http://www.farmkaset.org/" target="_blank">www.FarmKaset.ORG</a> <br />
ติดต่อฟาร์มเกษตร<br />
สั่งสินค้า<br />
โทร: 089-4599003<br />
FAX: 045-511273<br />
e-mail: FarmKaset@gmail.com<br />
FarmKaset.ORG เป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานอุทยานวิทยาศาสตร์ (iTAP) , สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NiA) , Asean SME และเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ กับองค์กรที่มีความน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง ลูกค้าจึงสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา ว่า FarmKaset.ORG ตั้งอยู่ที่ใด ลูกค้าจึงสามารถมั่นใจได้ เมื่อทำการซื้อขายสินค้าต่างๆ จาก FarmKaset.ORG <br />
เกี่ยวกับฟาร์มเกษตรโดยละเอียดกรุณาดูที่ <a href="http://www.farmkaset.org/contact_us.aspx" target="_blank">www.farmkaset.org/contact_us.aspx</a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-22969236891795872052012-02-02T10:55:00.000+07:002012-02-02T10:55:45.293+07:00สินค้าเกษตร น้ำยาแช่ท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง จากฟาร์มเกษตร<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.farmkaset.org/upload_files/goodsoke.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://www.farmkaset.org/upload_files/goodsoke.jpg" /></a></div>
<br />
สินค้าเกษตร <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00239" target="_blank">น้ำยาแช่ท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง</a> จากฟาร์มเกษตร
<br />
เพิ่่มอาหารสะสมใน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00239" target="_blank">ท่อนพันธุ์</a> กระตุ้น และส่งเสริมการแตกราก เพิ่มเปอร์เซ็นต์การงอก ป้องกันโรคที่ติดมากับท่อนพันธุ์
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00239" target="_blank">น้ำยาแช่ท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง กู๊ดโซค</a><br />
* อาหารเสริมสำหรับแช่ท่อนพันธุ์ ปลอดสารพิษ
<br />
* เร่งการแตกราก ป้องกันโรค
<br />
* เพิ่่มอาหารสะสมใน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00239" target="_blank">ท่อนพันธุ์</a><br />
* กระตุ้น และส่งเสริมการแตกราก<br />
* เพิ่มเปอร์เซ็นต์การงอก ขนาด และจำนวนของราก<br />
* ป้องกันโรคที่ติดมากับ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00239" target="_blank">ท่อนพันธุ์</a><br />
<br />
รายระเอียดเพิ่มเติม <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00239" target="_blank">http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00239</a><br />
----------------------------------<br />
เกี่ยวกับ ฟาร์มเกษตร (ผู้ประกาศขายสินค้านี้)<br />
เว็บไซต์ <a href="http://www.farmkaset.org/">www.FarmKaset.ORG</a><br />
ติดต่อฟาร์มเกษตร<br />
สั่งสินค้า<br />
โทร: 089-4599003<br />
FAX: 045-511273<br />
e-mail: FarmKaset@gmail.com<br />
FarmKaset.ORG เป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานอุทยานวิทยาศาสตร์ (iTAP) , สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NiA) , Asean SME และเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ กับองค์กรที่มีความน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง ลูกค้าจึงสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา ว่า FarmKaset.ORG ตั้งอยู่ที่ใด ลูกค้าจึงสามารถมั่นใจได้ เมื่อทำการซื้อขายสินค้าต่างๆ จาก FarmKaset.ORG เกี่ยวกับฟาร์มเกษตรโดยละเอียดกรุณาดูที่ <a href="http://www.farmkaset.org/contact_us.aspx%20" target="_blank">http://www.farmkaset.org/contact_us.aspx </a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-4932982061021921492012-01-31T14:37:00.001+07:002012-01-31T14:40:02.211+07:00สินค้าเกษตร ไอกี้-บีที กำจัดหนอน ปลอดสารพิษจากฟาร์มเกษตร<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00240" target="_blank"><img border="0" src="http://www.farmkaset.org/upload_files/7505a3621.jpg" /></a></div>
<br />
สินค้าเกษตร ไอกี้-บีที <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00240" target="_blank">กำจัดหนอน</a> ปลอดสารพิษจากฟาร์มเกษตร
<br />
ประกอบด้วยจุลินทรีย์สายพันธ์ บีที (BT) ที่มีประสิทธิภาพสูง คือ Bacillus thuringiensis var. aizawai และ Bacillus thuringi
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00240" target="_blank">ฆ่าหนอน</a> <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00240" target="_blank">กำจัดหนอน</a> ปลอดสารพิษ
<br />
<br />
ไอกี้ - บีที [ Aiki-BT ]<br />
ชื่อสามัญ : บาซิลลัส ทูริงเยนซิส [ Bacillus truringiensis ]<br />
กลุ่มสารเคมี : Bacterium<br />
สารสำคัญ : Bacillus thuringiensis var. kurstaki<br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00240" target="_blank">ฆ่าหนอน</a> <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00240" target="_blank">กำจัดหนอน</a>แมลงศัตรูพืชด้วยสารชีวินทรีย์ประสิทธิภาพสูง
ไอกี้-บีที [ Aiki-BT ]
<br />
เพิ่มศักยภาพในการ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00240" target="_blank">กำจัดแมลง</a>ศัตรูพืชให้กับเกษตรกร โดยการรวมประสิทธิภาพการ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00240" target="_blank">กำจัดแมลง</a>ของเชื้อ Bacillus thuringiensis 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ Kustaki และ Aizawai เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อเพิ่มการปลดปล่อยสารพิษในการทำลายแมลงศัตรูพืช ด้วยการสร้างสารพิษผลึกโปรตีน delta-endotoxins ที่มีอยู่ในเชื้อ Bacillus thuringiensis เมื่อแมลงศัตรูพืชได้รับสารพิษนี้เข้าไป จะทำให้เกิดพิษในกระเพาะอาหารเป็นอัมพาต ลำตัวเหี่ยวแห้ง และตายภายในเวลา 24-48 ชั่วโมง โดยไม่เป็นอันตราต่อสิ่งแวดล้อม แมลงศัตูธรรมชาติ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ รวมทั้งปลอดภัยต่อผู้ใช้ และผู้บริโภค
<br />
<br />
-ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม แมลงศัตรูธรรมชาติ และสิ่งมีชีวิต ไม่มีสารพิษตกค้าง ไม่มีผลข้างเคียง กำจัดหนอนด้วยสารอินทรีย์จากธรรมชาติ<br />
-ปลอดภัยต่อผู้ใช้ และผู้บริโภค เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ปลูกผักปลอดสารพิษ เพื่อการค้า และการส่งออก หรือผู้ปลูกผักปลอดสารพิษไว้บริโภคเอง<br />
<br />
รายระเอียดเพิ่มเติม <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00240" target="_blank">http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00240 </a><br />
---------------------------------- <br />
เกี่ยวกับ ฟาร์มเกษตร (ผู้ประกาศขายสินค้านี้) <br />
เว็บไซต์ <a href="http://www.farmkaset.org/">www.FarmKaset.ORG</a> <br />
ติดต่อฟาร์มเกษตร <br />
สั่งสินค้า <br />
โทร: 089-4599003 <br />
FAX: 045-511273 <br />
e-mail: FarmKaset@gmail.com <br />
FarmKaset.ORG เป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานอุทยานวิทยาศาสตร์ (iTAP) , สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NiA) , Asean SME และเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ กับองค์กรที่มีความน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง ลูกค้าจึงสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา ว่า FarmKaset.ORG ตั้งอยู่ที่ใด ลูกค้าจึงสามารถมั่นใจได้ เมื่อทำการซื้อขายสินค้าต่างๆ จาก FarmKaset.ORG
เกี่ยวกับฟาร์มเกษตรโดยละเอียดกรุณาดูที่ <a href="http://www.farmkaset.org/contact_us.aspx">http://www.farmkaset.org/contact_us.aspx</a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-81271579459601671762012-01-13T14:33:00.001+07:002012-01-13T14:48:14.579+07:00เรื่องน่ารู้ของผักคราดหัวแหวน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-PsOVkLqChMY/Tw_bnYBFNAI/AAAAAAAAAQE/J1LuUHnJ9Ig/s1600/550113-299-3.jpg" /></a></div>
<br />
<br />
<h1 align="center">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a></h1>
เรื่องน่ารู้ของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><b>ผักคราดหัวแหวน</b></a> : ผักเพื่อสุขภาพ แก้ปวดฟัน ต่อกระดูก แก้อักเสบ <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><b>ผักคราดหัวแหวน</b></a>เป็น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ที่ชอบขึ้นในที่แฉะๆ พบได้ทุกภาคของประเทศไทย <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>จัดว่าเป็น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ดอกสวย ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับได้ดี บางคนเรียก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>ว่า ดอกกระดุมทอง ดอกตุ้มหู บ้าง เพราะดอก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>ดูๆ ไปก็คล้ายหัวแหวนสีทอง บางคนก็บอกว่าคล้ายกระดุมทอง ดูอีกทีก็เหมือนตุ้มหูสีทอง <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>จึงถูกเรียกกันหลายชื่อ แล้วแต่ว่าใครจะคิดถึงเครื่องประดับชนิดไหน <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>เป็น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ที่เคยรับรู้มาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาเภสัชศาสตร์ว่า เป็น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>แก้ปวดฟัน มีฤทธิ์เป็นยาชาด้วยสารที่ชื่อ Spilanthol และเมื่อจบออกมาทำงานที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้ทำสวน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>เล็กๆ และได้นำ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>มาปลูกไว้ เมื่อมีคนมาดูงานก็มักจะให้ทดลองกัดดอกของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>ไว้ที่ฟัน แล้วจึงค่อยบอกว่า<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>มีสรรพคุณเป็นยาชา ถึงตอนนั้นปากของเขาก็ชาไปแล้ว เป็นวิธีการให้คนเข้าถึง<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>อีกวิธีหนึ่ง <br />
<br />
เมื่อก่อนที่จะได้พบพ่อเม่ากับคุณตาส่วนนั้นไม่เคยรู้เลยว่า <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>กินเป็นผักได้ โดยจะกินยอดอ่อน ใบอ่อน แกล้มน้ำพริก แกล้มลาบ และเมื่อเดินทางไปตามหา<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>แถวๆ ทางเหนือ ทั้งลำปาง เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน พบ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>วางขายเป็นกองๆ อยู่ในตลาดสดมากมาย จนพอจะเดาได้ว่า แถบนี้คงมีการปลูก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>เป็นพืชผักเศรษฐกิจแน่ๆ ซึ่งต่อมาทราบว่าคนทางเหนือจะเอาผักเผ็ดไปแกงแค คนอีสานจะเอาไปใส่อ่อมปลา อ่อมกบ ส่วนคนทางใต้จะนำผักคราด ไปแกงร่วมกับหอยและปลา รสเผ็ดชาลิ้น หวานๆ ขมๆ <br />
<br />
ตอนแรกก็สงสัยอยู่บ้างว่าทำไมคนจึงต้องไปกินผักที่มีรสชาติประหลาดที่สุดชนิดหนึ่ง (จะเป็นรองก็คงผักคาวตอง) เมื่อได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลทางเอกสารจึงทราบว่า <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>ช่วยกระตุ้นให้น้ำลายออกมามาก ช่วยให้การย่อยอาหารในปากและกระเพาะอาหารดีขึ้น และยังช่วยรักษาอาการต่อมน้ำลายอักเสบได้ด้วย การกระตุ้นต่อมน้ำลายนั้นยังช่วยกระตุ้นระบบน้ำเหลืองจึงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ได้ดีขึ้น ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือสาร Spilanthol มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อปรสิตที่อยู่ในกระแสเลือด เช่น เชื้อมาลาเรีย โดยไม่มีพิษต่อคน ดังนั้น จึงมีแนวโน้มว่าการกิน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>จะสามารถป้องกันมาลาเรียได้ และการที่<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>มีรสเผ็ดร้อนจึงช่วยในการขับลม รักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ได้อีกด้วย <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><b>ผักคราดหัวแหวน</b></a>…หมอฟันจำเป็น ที่คนทั้งโลกก็รู้ <br />
<br />
ใครๆ ที่รู้จัก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>ต่างก็รู้ดีว่า<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>แก้ปวดฟัน หมอยาไทยใหญ่ ทั้งในฝั่งรัฐฉานและในฝั่งไทย หมอยาไทยเลย หมอยาภาคใต้ และหมอยาภาคกลาง ต่างก็ใช้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>เป็นยาแก้ “แมงกินฟัน” (หมอยาพื้นบ้านทุกภาคมีความเชื่อตรงกันว่าการที่ฟันผุนั้นมีพยาธิที่มักจะเรียกกันว่า “แมงกินฟัน” เป็นตัวการทำให้ฟันผุและปวดฟัน) โดยจะใช้เฉพาะดอกขยี้ใส่หรือใช้ทั้งห้าตำผสมเกลือ คั้นเอาน้ำใส่ซอกฟันที่กำลังปวดจะทำให้หายปวดฟัน ทั้งนี้เพราะ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>มีฤทธิ์เป็นยาชาและมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้อย่างกว้างขวางจึงทำให้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>สามารถใช้แก้ปวดฟันได้ในยามที่ไม่มีหมอฟัน ในหลายประเทศ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>มีฉายาว่า Toothache Plant ซึ่งหมายถึงการใช้เป็นยาแก้ปวดฟันเช่นเดียวกับบ้านเรา <br />
<br />
นอกจากจะใช้เป็นยาแก้ปวดฟันตามที่กล่าวมาแล้ว ยังมีการนำรากมาต้มเอาน้ำบ้วนปาก แก้อาการอักเสบในช่องปาก แก้เหงือกอักเสบ และแก้เจ็บคอได้อีกด้วย <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><b>ผักคราดหัวแหวน</b></a>…ยารักษากระดูกหัก<br />
ยาห้ามเลือด รักษาแผล <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><b>ผักคราดหัวแหวน</b></a>เป็นยาทำให้กระดูกต่อกันได้ การใช้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>ในการรักษากระดูกหักนั้นไม่เคยพบที่ไหน จนกระทั่งไปพบกับหมอยาไทยใหญ่ ซึ่งชุมชนไทยใหญ่ยังมีปัญหากระดูกแตกกระดูกหักกันอยู่มากและส่วนหนึ่งยังไม่ศรัทธาการรักษากระดูกหักตามระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน ตำรับหนึ่งที่เขาใช้รักษากระดูกหัก กระดูกแตกคือการใช้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>ตำรวมกับตะไคร้พอกกระดูกไว้ เปลี่ยนยาทุก ๖ วัน ครบ ๔๑ วัน กระดูกจะต่อกันติด ซึ่งอาจเป็นเพราะ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>มีฤทธิ์ร้อนทำให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้นมากขึ้น ทั้งยังมีฤทธิ์แก้อักเสบ จึงอาจช่วยเรื่องกระดูกหักได้ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>ยังเป็นยาห้ามเลือดที่ดีชนิดหนึ่งเมื่อมีบาดแผล ชาวบ้านจะขยี้หรือตำต้นสดพอกแผลเลือดจะหยุดไหล <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><b>ผักคราดหัวแหวน</b></a>…ยาแก้ปวดตามกระดูกและกล้ามเนื้อ<br />
ยารักษาอัมพฤกษ์ อัมพาต เหน็บชา<br />
<br />
หมอยาพื้นบ้านหลายพื้นที่ยังนิยมใช้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>เป็นยาแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ แก้ปวดบวม ฟกช้ำ โดยตำทั้งต้นใส่น้ำพอชุ่มพอกบริเวณที่ปวดบวม ฟกช้ำ จะระงับอาการปวดบวมและแก้อักเสบได้ สำหรับคนที่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เหน็บชา จะใช้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>กับพริกไทย หัวอุตพิด ในอัตราส่วนเท่าๆ กันผสมน้ำมันพืชทา หรือจะใช้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>กัน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ที่มีรสร้อนตัวอื่นๆ เช่น ข่า ไพล ตะไคร้ ก็ได้ ขึ้นกับว่าในท้องถิ่นมี<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>อะไรอยู่ หรือใส่ในยาอบร่วมกับ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ชนิดอื่นเพื่อแก้ปวดเมื่อย แก้ปวดตามข้อก็ได้<br />
<div align="left">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><b>ผักคราดหัวแหวน</b></a>…ยาสำหรับผู้หญิง<br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><b>ผักคราดหัวแหวน</b></a>เป็นยาแก้ปวดประจำเดือนที่ดีชนิดหนึ่ง โดยจะคั้นน้ำจากต้นสดของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>ผสมน้ำผึ้งรับประทาน ส่วนหมอยาพื้นบ้านภาคใต้จะใช้ต้นสดของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a> ผสมน้ำมะนาวทำเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเม็ดพุทรา กินครั้งละ ๑ เม็ดหลังอาหาร <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank"><u>ผักคราดหัวแหวน</u></a>ยังนิยมใช้ใส่ในยาอบหรือยาอาบหลังคลอดโดยใช้ร่วมกับใบหนาดใหญ่และใบมะขาม เพื่อบำรุงเลือดลมสตรีให้ทำงานเป็นปกติ <br />
<br />
พ่อหมอยาบอกว่าผักเผ็ดที่มีฤทธิ์ดีในการนำมาทำยานั้นควรเป็นผักเผ็ดที่ขึ้นตามธรรมชาติ <br />
<b><br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779" target="_blank">คุณค่าทางยาพื้นบ้าน</a> </b><br />
<br />
มีสรรพคุณเป็นอาหารบำรุงธาตุหญิงหลังคลอด และมีอาการวิงเวียนศีรษะ <br />
<br />
<br />
เราหวังว่า ทุกท่านได้ประโยชน์ที่อ่านบทความนี้ตามพอสมควร <br />
ขอความกรุณาแสดงความเห็น ให้เราด้วยนะครับ เพือปรับปรุงบทความต่อๆไป ขอบคุณครับ <br />
อ้างอิง : <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779">http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00779</a></div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-12375994438692625392012-01-12T14:17:00.000+07:002012-01-12T14:17:52.457+07:00เรื่องน่ารู้ของผักกาดน้ำ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-L_lIMWQBCI8/Tw6I3Le_g3I/AAAAAAAAAP4/L6nPWACGgPQ/s1600/550112-299-5.jpg" /></a></div>
<h1 style="text-align: center;">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a></h1>
เรื่องน่ารู้ของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><b>ผักกาดน้ำ</b></a> : ยาเอ็น ยากระดูก ยานิ่ว <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><b>ผักกาดน้ำ</b></a>...<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักพื้นบ้าน</u></a>ไทย <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ในสากล<br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><b>ผักกาดน้ำ</b></a>ขึ้นอยู่ในที่ชุ่มชื้นทั่วๆ ไป พบได้ในหลายประเทศทั้งจีน ญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา เอเชีย เรียกว่าเกือบหมดทั้งโลก ยกเว้นในเขตหนาวเท่านั้นกระมังที่ไม่มี<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a> ในเมืองไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาค คนในแถบภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคเหนือหลายพื้นที่กิน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>เป็นผักสดจิ้มน้ำพริก <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินบี วิตามินซี และโอสถสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ช่วยกำจัดพิษออกจากร่างกาย เป็นยาระบายอ่อนๆ โดยจะกินช่อดอกอ่อนๆ ใบอ่อนๆ (ต้องรีบเก็บตอนที่เป็นใบอ่อนจริงๆ เพราะใบ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>แก่เร็ว) แต่ในระยะหลังๆ ไม่ค่อยพบ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>ในธรรมชาติบ่อยนัก ส่วนคนที่รู้จักกิน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>เป็นผักก็มีจำนวนน้อยลงมาก วัฒนธรรมการกิน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>เป็นผักนี้เป็นวัฒนธรรมร่วมของคนทั้งโลกที่มีเจ้าต้น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>ขึ้นอยู่ มีทั้งกินเป็นผักสดๆ และนำไปปรุงสุก นอกจากกินเป็นผักแล้ว ยังใช้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>ในการรักษาโรคหลายชนิดกันอย่างกว้างขวางมายาวนานนับพันปี ถือเป็น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ที่มีความปลอดภัยสูงชนิดหนึ่ง และได้รับการยอมรับในการใช้เป็น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ในเภสัชตำรับของเยอรมัน(German Commission E) สำหรับรักษาอาการไอและหลอดลมอักเสบจากการติดเชื้อ และใช้รักษาโรคผิวหนังอักเสบ แทบจะกล่าวได้ว่า<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>เป็น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ที่มีการนำไปใช้และศึกษาวิจัยกันมากที่สุดชนิดหนึ่ง แต่<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>ก็เช่นเดียวกับเพื่อนๆ ผักหญ้า<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ชนิดอื่นๆ ที่ไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ จึงทำให้ไม่มีหน่วยงานไหนมาส่งเสริมสนับสนุนให้คนใช้กันมากนัก <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>จึงนับวันแต่จะหายไปไม่ว่าจะใช้เป็นผักหรือใช้เป็นยาก็ตาม <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><b>ผักกาดน้ำ</b></a>…ยาขับปัสสาวะที่นักศึกษาเภสัชศาสตร์รู้จักดี <br />
<br />
ครั้งแรกที่รู้ว่า<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>เป็นยา ก็ครั้งเป็นนักศึกษาเภสัชศาสตร์ชั้นปีที่ ๒ ของมหาวิทยาลัยมหิดล ในวิชาพฤกษศาสตร์อันเป็นวิชาที่เหมือนฝันร้ายของเภสัชกรหลายคน รวมถึงคนจบการศึกษาออกมาแล้ว เพราะอาจารย์ที่สอนวิชานี้ไม่ว่าคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยไหน ต่างมีพฤติกรรมการออกข้อสอบคล้ายๆ กันคือ ชอบไปเอาต้น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ที่ผิดปกติมาออกข้อสอบ ต้น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ที่ทุกคนเห็นและจำได้ทันทีอย่าง<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>ไม่มีทางได้เป็นข้อสอบ เพราะ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>เป็น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>พื้นๆ ที่เภสัชกรแทบทุกคนจำได้ว่ามันมีสรรพคุณ “ขับปัสสาวะ” เป็นสรรพคุณติดป้ายแน่นหนามากับ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>ที่ไม่ใช่เพียงเภสัชกรเท่านั้นที่รู้กันดี แต่หมอแผนไทยทุกคนจนถึงหมอยาพื้นบ้านไทยในทุกภาค หมอยาจีน คนขาย<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ในร้านขายวัตถุดิบ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ต่างก็มีความรู้นี้อย่างแน่นหนาเช่นกัน โดยหมอยาทั้งหลายจะใช้ทั้งต้น ก้านใบ ต้มน้ำรับประทานเป็นยาแก้นิ่ว แก้ช้ำรั่ว (ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ปัสสาวะกะปริบกะปรอย) แก้หนองใน ขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน (ในน้ำจับเลี้ยงแก้ร้อนในที่ขายกันอย่างแพร่หลายนั้นมี<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>ผสมอยู่ด้วย) ซึ่งการศึกษาทางเภสัชวิทยาสมัยใหม่พบว่า <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ ละลายก้อนนิ่วในไต ลดความดันโลหิต ซึ่งสนับสนุนการใช้ของหมอยาไทยและหมอยาจีน <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><b>ผักกาดน้ำ</b></a>…ยารักษาเอ็น รักษากระดูก <br />
<br />
การใช้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>ในการเป็นยารักษาอาการอักเสบของเอ็นและกล้ามเนื้อ อาการปวดตึงที่คอ หลัง เอว แขน ขา การหกล้มฟกช้ำ ข้อเท้าแพลง จนเดินเขยกหรือเดินไม่ได้ รวมไปถึงการรักษาอาการกระดูกหัก กระดูกแตกนั้น ได้รู้เมื่อไปตามเก็บความรู้กับหมอยาไทยใหญ่ ซึ่งความรู้ในการใช้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>หรือที่ไทยใหญ่เรียกว่า หญ้าเอ็นยืด นั้น (ไทยใหญ่มักเรียกชื่อ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ตามสรรพคุณทางยาเป็นส่วนใหญ่) แม้แต่เด็กๆ ก็รู้ว่าหญ้าเอ็นยืดมีสรรพคุณในการรักษาเอ็น รักษากระดูก ดังนั้นเวลาหกล้มข้อเท้าแพลงเด็กไทยใหญ่จะไปเก็บหญ้าเอ็นยืดมาทุบๆ ให้น้ำออกแล้วพอกบริเวณที่ข้อเท้าแพลงนั้น เชื่อกันว่าหญ้าเอ็นยืดจะทำให้เส้นเอ็นคลายตัวบรรเทาความเจ็บปวดลงได้ นอกจากคนไทยใหญ่แล้ววัฒนธรรมการใช้หญ้าเอ็นยืดรักษาอาการเคล็ดขัดยอกนี้ยังเป็นที่แพร่หลายในบรรดาหมอเมือง ชาวล้านนาทั้งหลายด้วย โดยลูกประคบหรือยาจู้ของหมอเมืองนอกเหนือไปจากไพลและขมิ้นเหมือนลูกประคบทั่วๆ ไปแล้ว ยังมี<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>หลักตัวหนึ่งที่จะขาดเสียมิได้ก็คือ หญ้าเอ็นยืด <br />
<br />
นอกจากจะใช้เป็นยาแก้อาการอักเสบของเอ็นและกล้ามเนื้อแล้ว หมอยาไทยใหญ่ยังใช้หญ้าเอ็นยืดเป็นยารักษากระดูกหัก กระดูกแตก โดยใช้ร่วมกับ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ตัวอื่น เช่น หญ้าติ๊ดสืบ (หญ้าถอดปล้อง) ตะไคร้ บอระเพ็ด เครือป๊กตอ (เถาวัลย์ปูน) เป็นต้น <br />
<br />
การใช้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>ในการรักษาอาการเคล็ดขัดยอก กระดูกหักกระดูกแตกนี้ มิใช่เฉพาะหมอเมืองและหมอยาไทยใหญ่เท่านั้นที่ใช้กัน หมอยาพื้นบ้านในหลายประเทศ ต่างก็ใช้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>ในสรรพคุณนี้อย่างทั่วถึง โดยมีการศึกษาจนเป็นทียอมรับแล้วว่า <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาบาดแผลจากการที่ทำให้เลือดหยุดไหลและช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ ทั้งยังช่วยลดการอักเสบ ลดการซึมผ่านของหลอดเลือดฝอย (ช่วยลดอาการบวม) อีกด้วย <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><b>ผักกาดน้ำ</b></a>…ยารักษาโรคผิวหนัง<br />
<br />
หมอยาพื้นบ้านไทยยังนิยมใช้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>เป็นยารักษาอาการคันจากการถูกต้นตำแย ใช้แก้พิษเนื่องจากผึ้งต่อยหรือแมลงสัตว์กัดต่อย รักษาแผลสด แผลเรื้อรัง โดยการตำใบของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>พอกบริเวณที่มีอาการแล้วเปลี่ยนยาบ่อยๆ เชื่อว่าการใช้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>รักษาแผลจะทำให้ไม่เกิดแผลเป็น ซึ่งพออธิบายได้ว่าเนื่องจาก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และลดอาการแพ้ <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>เป็น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ที่มีความปลอดภัยสูงมาก ในต่างประเทศมีการใช้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>เป็น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>รักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคลำไส้อักเสบ (Irritable Bowel Syndrome) ทั้งยังใช้เป็น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>เพื่อการเลิกบุหรี่ ใช้รักษาอาการไหม้จากการถูกแสงแดด ถูกลม โดยใช้น้ำคั้นจากใบทา ใช้ทำเป็นครีมหรือโลชั่นบำรุงผิวลบรอยเหี่ยวย่น รักษาโรคผิวหนังหลายชนิด เช่น อาการอักเสบของผิวหนังในทารกที่เราเรียกว่า "ผ้าอ้อมกัด" โดยใช้ใบ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778" target="_blank"><u>ผักกาดน้ำ</u></a>แห้งแช่ในน้ำมันแล้วนำไปตากแดดเพื่อสกัดสารออกมาจากใบ นำน้ำมันมาใช้ทาบริเวณที่เกิดอาการ <br />
<br />
<br />
เราหวังว่า ทุกท่านได้ประโยชน์ที่อ่านบทความนี้ตามพอสมควร<br />
ขอความกรุณาแสดงความเห็น ให้เราด้วยนะครับ เพือปรับปรุงบทความต่อๆไป ขอบคุณครับ <br />
อ้างอิง : <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778">http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00778</a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-23695755451743000152012-01-12T11:15:00.001+07:002012-01-12T12:55:59.563+07:00วิธีทำนาหว่าน<div style="float: left;">
<table>
<tbody>
<tr>
<td><a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-7A5dDuoXeus/Tw5NSoRdNmI/AAAAAAAAAPs/cns2BqxmEcA/s1600/550112-299-3.jpg" /></a></td>
</tr>
</tbody>
</table>
</div>
<h1>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>วิธีทำนาหว่าน</u></a></h1>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><b>การทำนาหว่าน</b></a> เป็นการปลูก<u>ข้าว</u>โดยการหว่านเมล็ดลงไปในนาที่เตรียมพื้นที่ไว้แล้วโดยตรง เป็นวิธีการที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากประหยัดแรงงานและเวลา <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><b>การทำนาหว่าน</b></a> แบ่งเป็น 2 วิธี คือ <br />
<br />
1. <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>นาหว่านข้าวแห้ง</u></a> เป็นการหว่านเมล็ด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>เพื่อคอยฝน และมีชื่อเรียกปลีกย่อยไปตามวิธีปฏิบัติ คือ <br />
<br />
- การหว่านสำรวย เป็นการหว่านในสภาพดินแห้ง เนื่องจากฝนยังไม่ตก โดยหลังจากการไถแปรครั้งสุดท้ายแล้วหว่านเมล็ด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ลงไปโดยไม่ต้องคราดกลบ เมล็ดจะตกลงไปอยู่ในระหว่างก้อนดิน เมื่อฝนตกลงมาเมล็ด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>จะงอกขึ้นมาเป็นต้น <br />
<br />
- การหว่านหลังขี้ไถ เป็นการหว่านในสภาพที่มีฝนตกลงมา และน้ำเริ่มจะขังในกระทงนา เมื่อไถแปรแล้วก็หว่านเมล็ดพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ตามหลัง แล้วคราดกลบทันที <br />
<br />
2. <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>นาหว่านข้าวงอก</u></a> หว่านน้ำตมหรือหว่านเพาะเลย โดยการนำเอาเมล็ดพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ที่ถูกเพาะให้งอก มีขนาดตุ่มตา (มีรากงอกประมาณ 1-2 มิลลิเมตร) แล้วจึงหว่านลงในกระทงนา ซึ่งมีการเตรียมดินจนเป็นเทือก แยกเป็น <br />
<br />
- การหว่านหนีน้ำ ทำในนาน้ำฝน เนื่องจากการหว่าน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>แห้งหรือทำการตกกล้าไม่ทัน เมื่อฝนมามาก หลังจากเตรียมดินเป็นเทือกดีแล้ว ก็หว่าน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ที่เพาะจนงอก ลงไปในกระทงนาที่มีน้ำขังอยู่มากจึงเรียกว่า <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u></u></a><u><a href="http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID=240337722595475371&postID=2369575545174300015">นาหว่านน้ำตม</a> </u><br />
<br />
- นาชลประทาน หรือนาในเขตที่มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ การทำนาในสภาพนี้มักจะให้ผลผลิตสูง หลังจากเตรียมดินเป็นเทือกดีแล้วระบายน้ำออกหรือให้เหลือน้ำขังบนผืนนาน้อยที่สุด นำเมล็ดพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ที่งอกขนาด “ตุ่มตา” หวานลงไป แล้วคอยดูแลควบคุมการให้น้ำ มักจะเรียกการทำนาแบบนี้ว่า “การทำนาน้ำตมแผนใหม่” <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><b>การทำนาหว่านน้ำตม</b></a><br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>การทำนาหว่านน้ำตม</u></a>ที่จะให้ได้ผลดีนั้น จะต้องปรับพื้นที่นาให้สม่ำเสมอ มีคันนาล้อมรอบและสามารถควบคุมน้ำได้ การเตรียมดินก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับการเตรียมดินในนาดำ หลังการเก็บเกี่ยว<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>แล้ว ควรปล่อยให้เมล็ด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ที่ร่วงหล่นในนามีเวลางอกเป็นต้น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a> เพื่อลดปัญหา<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>เรื้อ หรือ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>วัชพืชในนา แล้วจึงไถดะ แล้วปล่อยน้ำเข้าพอให้ดินชุ่มอยู่เสมอ ประมาณ 5-10 วัน เพื่อให้เมล็ดวัชพืช งอกขึ้นมาเป็นต้นอ่อนเสียก่อนจึงปล่อยน้ำเข้านา แล้วทำการไถแปรและคราด หรือใช้ลูกทุบตี จะช่วยทำลายวัชพืชได้ หากทำเช่นนี้ 1-2 ครั้ง หรือมากกว่านั้น โดยทิ้งระยะห่างกันประมาณ 4-5 วัน หลังจากไถดะไถแปร และคราดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขังน้ำไว้ประมาณ 3 สัปดาห์ เพื่อให้ลูกหญ้าที่เป็นวัชพืชน้ำ เช่น ผักตบ ขาเขียด ทรงกระเทียม ผักปอดและพวกกกเล็ก เป็นต้น งอกเสียก่อน จึงคราดให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ลูกหญ้าจะหลุดลอยไปติดคันนาใต้ทางลม ก็จะสามารถช้อนออกได้หมด เป็นการทำลายวัชพืชวิธีหนึ่ง เมื่อคราดแล้วจึงระบายน้ำออกและปรับเทือกให้สม่ำเสมอ สำหรับผู้ที่ใช้ลูกทุบหรืออีขลุก ย่ำฟาง<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ให้จมลงไปในดินแทนการไถ หลังจากย่ำแล้วควรเอาน้ำแช่ไว้ ให้ฟางเน่าเปื่อยจนหมดความร้อนเสียก่อน อย่างน้อย 3 อาทิตย์ แล้วจึงย่ำใหม่ เพราะแก๊สที่เกิดจากการเน่าเปื่อยของฟางจะเป็นอันตรายต่อต้น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a> จะทำให้ราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ดำไม่สามารถหาอาหารได้ หลังจากนั้นจึงระบายน้ำออกเพื่อปรับเทือก <br />
<br />
การปรับพื้นที่นาหรือการปรับเทือกให้สม่ำเสมอ จะทำให้ควบคุมน้ำได้สะดวก การงอกของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ดีเติบโตสม่ำเสมอ เพราะเมล็ด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>มักจะตายถ้าตกลงไปในแอ่งหรือหลุมที่มีน้ำขัง เว้นแต่กรณีดินเป็นกรดจัดละอองดินตกตะกอนเร็วเท่านั้นที่ต้น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>สามารถขึ้นได้ แต่ถ้าแปลงใหญ่เกินไปจะทำให้น้ำเกิดคลื่น ทำให้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>หลุดลอยง่าย และ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>รวมกันเป็นกระจุก ไม่สม่ำเสมอ นอกจากนั้นการปรับพื้นที่ให้สม่ำเสมอ ยังช่วยควบคุมการงอกของเมล็ดวัชพืช ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>การทำนาหว่านน้ำตม</u></a>อีกด้วย การปรับพื้นที่ทำเทือก ควรทำก่อนหว่าน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>หนึ่งวัน เพื่อให้ตะกอนตกดีเสียก่อน แล้วแบ่งกระทงนาออกเป็นแปลงย่อยๆ ขนาดกว้าง 3-5 เมตร ยาวตามความยาวของกระทงนา ทั้งนี้แล้วแต่ความสามารถของคนหว่าน ถ้าคนหว่านมีความชำนาญอาจแบ่งให้กว้าง การแบ่งอาจใช้วิธีแหวกร่อง หรือใช้ไหกระเทียมผูกเชือกลากให้เป็นร่องก็ได้ เพื่อให้น้ำตกลงจากแปลงให้หมด และร่องนี้ยังใช้เป็นทางเดินระหว่างหว่าน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a> หว่านปุ๋ย และพ่นสารเคมีได้ตลอดแปลง โดยไม่ต้องเข้าไปในแปลงย่อยได้อีกด้วย <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><b></b></a><b><a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776">การเตรียมเมล็ดพันธุ์</a> </b><br />
<br />
- ตรวจความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ พิจารณาว่ามีเมล็ด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>พันธุ์อื่นหรือเมล็ดวัชพืชปนหรือไม่ ไม่มีโรคหรือแมลงทำลาย รูปร่างเมล็ดมีความสม่ำเสมอ ถ้าพบว่ามีเมล็ด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>พันธุ์อื่นหรือเมล็ดวัชพืชปน หรือมีโรค แมลงทำลายก็ไม่ควรนำมาใช้ทำพันธุ์ <br />
<br />
- การทดสอบความงอก โดยการนำเมล็ด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a> จำนวน 100 เมล็ด มาเพาะเพื่อดูเปอร์เซ็นต์ ความงอก อาจทำ 3-4 ซ้ำเพื่อความแน่นอน เมื่อรู้ว่าเมล็ดงอกกี่เปอร์เซ็นต์จะได้กะปริมาณพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ที่ใช้ได้ถูกต้อง <br />
<br />
- คัดเมล็ดพันธุ์ให้ได้เมล็ดที่แข็งแรง มีน้ำหนักเมล็ดดีที่เรียกว่า<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>เต็มเมล็ด จะได้ต้น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ที่เจริญเติบโตแข็งแรง <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><b>อัตราเมล็ดพันธุ์</b></a><br />
<br />
อัตราเมล็ดพันธุ์ที่ใช้ใน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>การทำนาหว่านน้ำตม</u></a> ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ กล่าวคือ ถ้ามีการเตรียมดินไว้ดี มีเทือกอ่อนนุ่ม พื้นดินปรับได้ระดับ เมล็ดที่ใช้เพียง 7-8 กิโลกรัมหรือ 1 ถังต่อไร่ ก็เพียงพอที่จะทำให้ได้ผลผลิตสูง แต่ถ้าพื้นที่ปรับได้ไม่ดี การระบายน้ำทำได้ยาก รวมถึงอาจมีการทำลายของนก หนู หลังจากหว่าน เมล็ดที่ใช้หว่านควรมากขึ้น เพื่อชดเชยการสูญเสีย ดังนั้นเมล็ดที่ใช้ควรเป็นไร่ละ 15-20 กิโลกรัม <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><b></b></a><b><a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776">การหว่าน<br /></a> </b><br />
<div style="float: right;">
<script type="text/javascript">
<!--
google_ad_client = "ca-pub-8494111650739002";
/* SAM-336x280 */
google_ad_slot = "8155589055";
google_ad_width = 336;
google_ad_height = 280;
//-->
</script> <script src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type="text/javascript">
</script></div>
ควรหว่านให้สม่ำเสมอทั่วแปลง <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>จะได้รับธาตุอาหาร แสงแดด และเจริญเติบโตสม่ำเสมอกัน ทำให้ได้ผลผลิตสูง โดยเดินหว่านในร่องแคบๆ ที่ทำไว้ เมล็ดพันธุ์ที่ใช้หว่านแต่ละแปลงย่อย ควรแบ่งออกเป็นส่วนๆ ตามขนาดและจำนวนแปลงย่อย เพื่อเมล็ด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ที่หว่านลงไปจะได้สม่ำเสมอทั่วทั้งแปลง ในนาที่เป็นดินทรายมีตะกอนน้อยหลังจากทำเทือกแล้วควรหว่านทันที กักน้ำไว้หนึ่งคืนแล้วจึงระบายออก จะทำให้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>งอกและจับดินดียิ่งขึ้น <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><b>การดูแลรักษา</b></a><br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>การทำนาหว่านน้ำตม</u></a> จะต้องมีการดูแลให้ต้น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>งอกดีโดยพิจารณาถึง <br />
<br />
1. พันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a> การใช้พันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>นาปีซึ่งมีลำต้นสูง ควรจะทำการหว่าน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ให้ล่า ให้อายุ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>จากหว่านถึงออกดอกประมาณ 70-80 วัน เนื่องจากความยาวแสงจะลดลง จะทำให้ต้น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>เตี้ยลง เนื่องจากถูกจำกัดเวลาในการเจริญเติบโตทางต้นและทางใบ ทำให้ต้น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>แข็งขึ้นและไม่ล้มง่าย สำหรับ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ที่ไม่ไวแสงหรือ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>นาปรังไม่มีปัญหา เพียงแต่กะระยะให้เก็บเกี่ยวในระยะฝนทิ้งช่วง หรือหมดฝน หรือหลีกเลี่ยงไม่ให้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>บางพันธุ์ เช่น ปทุมธานี 1 ออกดอกในฤดูหนาวเป็นต้น <br />
<br />
2. ระดับน้ำ การจะผลผลิต<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ให้ได้ผลผลิตสูงการควบคุมระดับน้ำเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะตั้งแต่เริ่มหว่านจน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>แตกกอ ระดับน้ำไม่ควรเกิน 5 เซนติเมตร เมื่อ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>แตกกอเต็มที่ ระดับน้ำอาจเพิ่มสูงขึ้นได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องสูบน้ำบ่อยๆ แต่ไม่ควรเกิน 10 เซนติเมตร เพราะถ้าระดับน้ำสูงจะทำให้ต้น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ที่แตกกอเต็มที่แล้ว เพิ่มความสูงของต้น และความยาวของใบ โดยไม่ได้ประโยชน์อะไร เป็นเหตุให้ต้น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ล้ม เกิดการทำลายของโรคและแมลงได้ง่าย <br />
<br />
3. การใส่ปุ๋ย ต้องใส่ปุ๋ยให้ถูกต้องตามระยะเวลาที่<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ต้องการ จำนวนที่พอเหมาะ จึงจะให้ผลคุ้มค่า <br />
<br />
4. การใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช วัชพืชเป็นปัญหาใหญ่ใน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>การทำนาหว่าน้ำตม</u></a> การปรับระดับพื้นที่ให้ราบเรียบสม่ำเสมอและการควบคุมระดับน้ำจะช่วยลดประชากรวัชพืชได้ส่วนหนึ่ง ถ้ายังมีวัชพืชในปริมาณสูงจำเป็นต้องใช้สารเคมี <br />
<br />
5. การป้องกันกำจัดโรค แมลง และสัตว์ศัตรู<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776" target="_blank"><u>ข้าว</u></a> ปฏิบัติเหมือนการทำนาดำ <br />
<br />
<br />
เราหวังว่า ทุกท่านได้ประโยชน์ที่อ่านบทความนี้ตามพอสมควร <br />
ขอความกรุณาแสดงความเห็น ให้เราด้วยนะครับ เพือปรับปรุงบทความต่อๆไป ขอบคุณครับ <br />
อ้างอิง : <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776">http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00776</a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-32485950461460488252012-01-10T14:07:00.000+07:002012-01-10T14:07:54.517+07:00การทำนาดำ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-x3Vsd8eKbr0/TwvhTE_PE3I/AAAAAAAAAPg/nxHY_JdiZNk/s1600/550110-299-4.jpg" /></a></div>
<br />
<h1>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>วิธีปลูกข้าว แบบปักดำ</u></a></h1>
1. <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><b>การทำนาดำ</b></a> เป็นวิธีการทำนาที่มีการนำเมล็ด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ไปเพาะในแปลงที่เตรียมไว้ (แปลงกล้า)ให้งอกเป็นต้นกล้า แล้วถอนนำต้นกล้าไปปักลงในกระทงนาที่เตรียมเอาไว้ และมีการดูแลรักษาจนให้ผลผลิต <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>การทำนาดำ</u></a>นิยมในพื้นที่ที่มีแรงงานเพียงพอ <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><b>การทำนาดำ</b></a> มีขั้นตอนดังต่อไปนี้ <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><b>การเตรียมดิน</b></a><br />
การเตรียมดินสำหรับการทำนา ต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อม เช่น น้ำ ภูมิอากาศ ลักษณะพื้นที่ ตลอดจนแบบวิธีการทำนา และเครื่องมือการเตรียมดินที่แตกต่างกัน การเตรียมดินแยกได้เป็น 2 ขั้นตอนคือ <br />
<br />
1. การไถดะ และไถแปร คือ การพลิกหน้าดิน ตากดินให้แห้ง ตลอดจนเป็นการคลุกเคล้าฟาง วัชพืช ฯลฯ ลงไปในดิน เครื่องมือที่ใช้ อาจเป็น รถไถเดินตามจนถึง รถแทรกเตอร์ <br />
<br />
2. การคราดหรือใช้ลูกทุบ คือการกำจัดวัชพืช ตลอดจนการทำให้ดินแตกตัว และเป็นเทือกพร้อมที่จะ<u>ปักดำ</u>ได้ ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ทำต่อจากขั้นตอนที่ 1 และขังน้ำไว้ระยะหนึ่ง เพื่อให้มีสภาพดินที่เหมาะสมในการคราดหรือการใช้ลูกทุบ ในบางพื้นที่อาจมีการใช้ โรตารี <br />
<br />
การเตรียมดินในพื้นที่ที่อยู่ในสภาพภูมิประเทศต่างๆ <br />
<br />
นาที่สูง (<u>ข้าวไร่</u>) <br />
นาดอน (นาน้ำฝน) <br />
นาลุ่ม (นาชลประทาน) <br />
<b><br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank">ข้อควรระวังในการเตรียมดิน</a></b> <br />
<br />
1. ควรปล่อยให้ดินนามีโอกาสแห้งสนิท เป็นระยะเวลานานพอสมควร และถ้าสามารถไถพลิกดินล่างขึ้นมาตากให้แห้งได้ก็จะดียิ่งขึ้น ถ้าดินเปียกน้ำติดต่อกันโดยไม่มีโอกาสแห้ง จะเกิดการสะสมของสารพิษ เช่นแก๊สไข่เน่า (ไฮโดรเจนซัลไฟด์) เป็นต้น ซึ่งถ้าแก๊สนี้มีปริมาณมากก็จะเป็นอันตรายต่อต้น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ได้ <br />
<br />
2. ควรจะมีการปล่อยน้ำขังนาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อให้กระบวนการหมักและสลายตัวของอินทรียวัตถุเสร็จสิ้นเสียก่อน ดินจะปรับตัวอยู่ในสภาพที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a> และจะปลดปล่อยธาตุอาหารที่จำเป็นออกมาให้แก่ต้น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a> <br />
<br />
3. ดินกรดจัดหรือดินเปรี้ยวจัด หรือดินกรดกำมะถัน เป็นดินที่มีสารที่จะก่อให้เกิดความเป็นกรด (pH ต่ำ) แก่ดินได้มากเมื่อสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศ ดินพวกนี้จึงจำเป็นต้องขังน้ำไว้ตลอด เพื่อไม่ให้สารดังกล่าวได้สัมผัสกับออกซิเจน จึงควรที่จะขังน้ำไว้อย่างน้อย 1 เดือน ก่อน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำข้าว</u></a> เพื่อให้ปฏิกิริยาต่างๆ ตลอดจนความเป็นกรดของดินลดลงสู่สภาวะปกติ และค่อนข้างเป็นกลางเสียก่อน ดินกลุ่มนี้ถ้ามีการขังน้ำตลอดปี หรือมีการทำนาปีละ 2 ครั้ง ก็จะเป็นการลดสภาวะความเป็นกรดของดิน และการเกิดสารพิษลงได้ ซึ่งจะทำให้ผลผลิตของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>สูงขึ้น <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><b></b></a><b><a href="">การตกกล้า</a> </b><br />
<br />
การเตรียมต้นกล้าให้ได้ต้นที่แข็งแรง เมื่อนำไป<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำ</u></a>ก็จะได้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ที่เจริญเติบโตได้รวดเร็ว และมีโอกาสให้ผลผลิตสูง ต้นกล้าที่แข็งแรงดีต้องมีการเจริญเติบโตและความสูงสม่ำเสมอกันทั้งแปลง มีกาบใบสั้น มีรากมากและรากขนาดใหญ่ ไม่มีโรคและแมลงทำลาย <br />
<br />
- การเตรียมเมล็ดพันธุ์ ที่ใช้ตกกล้าต้องเป็นเมล็ดพันธุ์ที่บริสุทธ์ ปราศจากสิ่งเจือปน มีเปอร์เซ็นต์ความงอกสูง (ไม่ต่ำกว่า 80 เปอร์เซ็นต์) ปราศจากการทำลายของโรคและแมลง <br />
<br />
- การแช่และหุ้มเมล็ดพันธุ์ นำเมล็ด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ที่ได้เตรียมไว้บรรจุในภาชนะ นำไปแช่ในน้ำสะอาด นานประมาณ 12-24 ชั่วโมง จากนั้นนำเมล็ดพันธุ์ขึ้นมาวางบนพื้นที่น้ำไม่ขัง และมีการถ่ายเทของอากาศดี นำกระสอบป่านชุบน้ำจนชุ่มมาหุ้มเมล็ดพันธุ์โดยรอบ รดน้ำทุกเช้าและเย็น เพื่อรักษาความชุ่มชื้น หุ้มเมล็ดพันธุ์ไว้นานประมาณ 30-48 ชั่วโมง เมล็ด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>จะงอกขนาด “ตุ่มตา” (มียอดและรากเล็กน้อยโดยรากจะยาวกว่ายอด) พร้อมที่จะนำไปหว่านได้ <br />
<br />
ในการหุ้มเมล็ดพันธุ์นั้น ควรวางเมล็ดพันธุ์ไว้ในที่ร่ม ไม่ถูกแสงแดดโดยตรง และขนาดของกองเมล็ดพันธุ์ต้องไม่โตมากเกินไป หรือบรรจุถุงขนาดใหญ่เกินไป เพื่อไม่ให้เกิดความร้อนสูงในกอง<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a> เพราะถ้าอุณหภูมิสูงมากเกินไปเมล็ดพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>จะตาย ถ้าอุณหภูมิพอเหมาะ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>จะงอกเร็ว และสม่ำเสมอกันตลอดทั้งกอง <br />
<br />
- การตกกล้า การตกกล้ามีหลายวิธีการ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและวัตถุประสงค์ เช่นการตกกล้าบนดินเปียก (ทำเทือก) การตกกล้าบนดินแห้ง และการตกกล้าใช้กับเครื่อง<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำข้าว</u></a> <br />
<br />
การตกกล้าในสภาพเปียก หรือการตกกล้าเทือก เป็นวิธีที่ชาวนาคุ้นเคยกันดี การตกกล้าแบบนี้จะต้องมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่เสมอ การดูแลรักษาไม่ยุ่งยากและความสูญเสียจากการทำลายของศัตรู<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>มีน้อย มีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้ <br />
<br />
- การเตรียมดิน ปฏิบัติเช่นเดียวกับแปลง<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำ</u></a> แต่เพิ่มความพิถีพิถันมากขั้น ในการเก็บกำจัดวัชพืช และปรับระดับเทือกให้ราบเรียบสม่ำเสมอ <br />
<br />
- การเพาะเมล็ดพันธุ์ ปฏิบัติตามขั้นตอนของการเตรียมเมล็ดพันธุ์ การแช่และหุ้มเมล็ดพันธุ์ โดยใช้อัตราเมล็ดพันธุ์ 50-60 กรัมต่อตารางเมตร หรือประมาณ 80-90 กิโลกรัมต่อไร่ จะได้กล้าสำหรับ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำ</u></a>ได้ประมาณ 15-20 ไร่ <br />
<br />
- การหว่านเมล็ดพันธุ์ ปล่อยน้ำแปลงกล้าให้แห้ง ทำเทือกให้ราบเรียบสม่ำเสมอ นำเมล็ดพันธุ์ที่เพาะงอกดีแล้วมาหว่านให้กระจายสม่ำเสมอตลอดแปลง ควรหว่านเมล็ดพันธุ์ตอนบ่ายหรือตอนเย็น เพื่อหลีกเลี่ยงแสงแดดตอนเที่ยงซึ่งมีความร้อนแรงมาก อาจทำให้เมล็ด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ตายได้ <br />
<br />
- การให้น้ำ ถ้าตกกล้าไม่มากนัก หลังจากหว่านเมล็ดพันธุ์แล้วหนึ่งวัน สาดน้ำรดให้กระจายทั่วแปลง ประมาณ 3-5 วัน กล้าจะสูงพอที่ไขน้ำเข้าท่วมแปลงได้ แต่ถ้าตกกล้ามาก ไม่สามารถที่จะสาดน้ำรดได้ ให้ปล่อยน้ำหล่อเลี้ยงระหว่างแปลงย่อย ประมาณ 3-5 วัน เมื่อต้นกล้าสูงจึงไขน้ำเข้าท่วมแปลง และค่อยเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ ตามความสูงของต้นกล้าจนน้ำท่วมผิวดินตลอด ให้หล่อเลี้ยงไว้ในระดับลึกประมาณ 5-10 เซนติเมตร จนกว่าจะถอนกล้าไป<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำ</u></a> <br />
<br />
- การใส่ปุ๋ยเคมี ถ้าดินแปลงกล้ามีความอุดมสมบูรณ์สูง กล้างามดีก็ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย เพราะจะงามเกินไป ใบจะยาว ต้นอ่อน ทำให้ถอนแล้วต้นขาดง่ายและตั้งตัวได้ช้าเมื่อนำไป<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำ</u></a> แต่ถ้าดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ให้ใส่ปุ๋ยเคมีแอมโมเนียมฟอสเฟต (16-20-0) อัตราประมาณ 25-40 กิโลกรัมต่อไร่ โดยใส่หลังหว่านเมล็ดพันธุ์แล้วประมาณ 7 วัน หรือเมื่อสามารถไขน้ำเข้าท่วมแปลงได้แล้ว (ดูรายละเอียดในเรื่องการใส่ปุ๋ยแปลงกล้า) <br />
- การดูแลรักษา ใช้สารป้องกันกำจัดโรคแมลงศัตรู<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ตามความจำเป็น <br />
<br />
การตกกล้าในสภาพดินแห้ง การตกกล้าโดยวิธีนี้ ควรกระทำเมื่อฝนไม่ตกตามปกติ และไม่มีน้ำเพียงพอที่จะทำเทือกเพื่อตกกล้าได้ แต่มีน้ำพอที่จะใช้รดแปลงกล้าได้ มีวิธีการปฏิบัติดังนี้ <br />
<br />
- การเตรียมดิน เลือกแปลงที่ดอนน้ำไม่ท่วม มีการระบายน้ำดี อยู่ใกล้แหล่งน้ำที่จะนำมารดแปลง ทำการไถดะตากดินให้แห้ง แล้วไถแปร คราดดินให้แตกละเอียด เก็บวัชพืชออก ปรับระดับดินให้ราบเรียบ <br />
<br />
- การตกกล้า ทำได้ 2 แบบคือ <br />
<br />
1. การหว่าน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>แห้ง หว่านเมล็ดพันธุ์ลงในแปลงโดยตรง โดยไม่ต้องเพาะเมล็ดให้งอกก่อน ใช้อัตราเมล็ดพันธุ์เช่นเดียวกับการตกกล้าเทือก คือประมาณ 80-90 กิโลกรัมต่อไร่ แล้วคราดกลบเมล็ดพันธุ์ให้จมดินพอประมาณ อย่าให้จมมาก เพราะจะทำให้เมล็ดงอกช้าและโคนกล้าอยู่ลึกทำให้ถอนยาก <br />
<br />
2. การหว่าน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>งอก เพาะเมล็ดให้งอกขนาดตุ่มตา (วิธีการเพาะเช่นเดียวกับการตกกล้าเทือก) อัตราเมล็ดพันธุ์เช่นเดียวกับการหว่าน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>แห้ง ควรหว่านตอนบ่ายหรือเย็น หว่านแล้วคราดกลบและรดน้ำให้ชุ่มทันทีหลังการหว่าน <br />
<br />
การให้น้ำ แบบวิธีการหว่าน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>แห้ง อาจหว่านทิ้งไว้คอยฝนได้ 7-10 วัน แต่ถ้ายังไม่มีฝนตกก็ให้รดน้ำให้ชุ่ม และต้องรดติดต่อกันทุกๆวัน โดยรดวันละ 3 ครั้ง เช่นเดียวกับวิธีหว่าน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>แห้ง ทั้งแบบหว่าน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>แห้ง และหว่าน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>งอกเมื่อ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>งอกโผล่พ้นดินประมาณ 1 เซนติเมตร หากมีน้ำพอก็ปล่อยน้ำเข้าหล่อร่องทางเดินให้เต็มร่อง เพื่อให้แปลงกล้าชุ่มทั่วกันแปลง จะได้ไม่ต้องรดน้ำทุกวัน ถ้ามีน้ำเพียงพอ ก็ไขน้ำเข้าท่วมแปลงแบบวิธีตกกล้าเทือกก็ได้ แต่หากไม่มีน้ำเพียงพอก็ต้องใช้วิธีรดน้ำให้ดินชุ่ม และอาศัยน้ำฝนจนกว่าจะถอนกล้าไป<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำ</u></a>ได้ <br />
<br />
การใสปุ๋ยเคมีและการดูแลรักษาปฏิบัติเช่นเดียวกับการตกกล้าเทือก <br />
<br />
การตกกล้าใช้กับเครื่อง<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำข้าว</u></a> เนื่องจากเครื่อง<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำข้าว</u></a>มีหลากหลายยี่ห้อ และมีกรรมวิธีรายละเอียดแตกต่างกัน การตกกล้าเพื่อใช้กับเครื่องเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะมีคำแนะนำบอกมาพร้อมเครื่อง <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><b>การปักดำ</b></a><br />
<div style="float: right;">
<script type="text/javascript">
<!--
google_ad_client = "ca-pub-8494111650739002";
/* SAM-336x280 */
google_ad_slot = "8155589055";
google_ad_width = 336;
google_ad_height = 280;
//-->
</script> <script src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type="text/javascript">
</script></div>
การ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำ</u></a>ควรทำเป็นแถวเป็นแนวซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการกำจัดวัชพืช การใส่ปุ๋ย การพ่นยากำจัดโรคแมลง และยังทำให้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>แต่ละกอมีโอกาสไดรับอาหารและแสงแดดอย่างสม่ำเสมอกัน สำหรับระยะ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำ</u></a>นั้นขึ้นกับชนิดและพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a> ดังนี้ <br />
<br />
- พันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ไม่ไวแสงหรือ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>นาปรัง เช่นพันธุ์ สุพรรณบุรี1 ชัยนาท1 พิษณุโลก2 ควรใช้ระยะ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำ</u></a>ระหว่างแถวและระหว่างกอ 20x20 เซนติเมตร หรือ 20x25 เซนติเมตร <br />
<br />
- พันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ไวแสงหรือ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>นาปี เช่น เหลืองประทิว123 ขาวดอกมะลิ105 กข15 กข6 ปทุมธานี60 ควรใช้ระยะ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำ</u></a> 25x25 เซนติเมตร <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำ</u></a>จับละ 3-5 ต้น <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำ</u></a>ลึกประมาณ 3-5 เซนติเมตร จะทำให้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>แตกกอใหม่ได้เต็มที่ <br />
<br />
การ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำ</u></a>ลึกจะทำให้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ตั้งตัวได้ช้าและแตกกอได้น้อย <br />
<br />
ไม่ควรตัดใบกล้าเพราะการตัดใบกล้าจะทำให้เกิดแผลที่ใบ จะทำให้โรคเข้าทำลายได้ง่าย ควรตัดใบกรณีที่จำเป็นจริงๆ เช่น ใช้กล้าอายุมาก มีใบยาว ต้นสูง หรือมีลมแรง เมื่อ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำ</u></a>แล้วจะทำให้ต้น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ล้ม <br />
<br />
อายุกล้า การใช้กล้าอายุที่เหมาะสม จะทำให้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ตั้งตัวเร็ว แตกกอได้มาก และให้ผลผลิตสูง อายุกล้าที่เหมาะสมสำหรับ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำ</u></a> ขึ้นอยู่กับชนิดและพันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ดังนี้ <br />
<br />
- พันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ไม่ไวต่อช่วงแสงหรือ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>นาปรัง เช่นพันธุ์ สุพรรณบุรี1 ชัยนาท1 พิษณุโลก2 ควรใช้กล้าที่มีอายุประมาณ 20-25 วัน <br />
<br />
- พันธุ์<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ไวต่อช่วงแสงหรือ<u>ข้าว</u>นาปี เช่น เหลืองประทิว123 ขาวดอกมะลิ105 กข15 กข6 ปทุมธานี60 ควรใช้กล้าที่มีอายุประมาณ 25-30 วัน <br />
<br />
ระดับน้ำในการ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำ</u></a> ควรมีระดับน้ำในนาน้อยที่สุด เพียงแค่คลุมผิวดิน เพื่อป้องกันวัชพืชและประคองต้น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>ไว้ไม่ให้ล้ม การควบคุมระดับน้ำหลัง<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ปักดำ</u></a>ก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะระดับน้ำลึกจะทำให้ต้น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774" target="_blank"><u>ข้าว</u></a>แตกกอน้อย ซึ่งจะทำให้ผลผลิตต่ำ ควรควบคุมให้อยู่ในระดับลึกประมาณ 1 ฝ่ามือ (20 เซนติเมตร) <br />
<br />
<br />
เราหวังว่า ทุกท่านได้ประโยชน์ที่อ่านบทความนี้ตามพอสมควร<br />
ขอความกรุณาคลิ๊กปุ่ม +1 , ปุ่ม Like ,ปุ่ม Tweet และ แสดงความเห็น ให้เราด้วยนะครับ เพือปรับปรุงบทความต่อๆไป ขอบคุณครับ <br />
อ้างอิง : <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774">http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00774</a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-66960619146831648472012-01-09T14:28:00.000+07:002012-01-09T14:28:27.183+07:00เรื่องน่ารู้ของปลาไหลเผือก<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><img border="0" height="320" src="http://3.bp.blogspot.com/-lfBRAKvpEt0/TwqMDr4OhYI/AAAAAAAAAPU/ftkedgvbgeM/s320/550109-299-3.JPG" width="213" /></a></div>
<br />
<h1>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>สมุนไพร ปลาไหลเผือก</u></a></h1>
เรื่องน่ารู้ของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><b>ปลาไหลเผือก</b></a> : <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><b>สมุนไพร</b></a>คู่ใจพรานไพร คู่กายของชายชาตรี ยาอายุวัฒนะ เสริมพลังชีวิต <br />
<br />
ที่เรียก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><b>สมุนไพร</b></a>ชนิดนี้ว่า "<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>" เนื่องจากรากของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ชนิดนี้มีลักษณะเหมือน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a> คือมีสีขาวยาวๆ เหมือน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>และยังมีรากเดียว บางครั้งจึงมีคนเรียกว่า พญารากเดียว ซึ่งทางอีสานเรียก เอี่ยน ด่อน (ภาษาอีสานเรียกปลาไหลว่า เอี่ยน ส่วนด่อนภาษาอีสานหมายถึง เผือก) คนอีสานบางท้องที่เรียก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ว่า หยิกบ่ถอง ส่วนราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ถ้ามีอายุหลายปี จะมีความยาวมาก บางครั้งยาวมากกว่าความสูงของคนเสียอีก จนทำให้บางท้องที่เรียก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ว่า ตรึงบาดาล <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง มีลำต้นสีแดง ในป่าดงดิบจะสูงประมาณ ๖-๑๕ เมตร แต่ในป่าเต็งรังสูงประมาณ ๑-๓ เมตร ไม่แตกกิ่งก้านทางด้านข้าง จะมีใบอยู่ตรงส่วนยอดของลำต้น ใบยาวประมาณ ๑ เมตร ใบนี้ประกอบด้วยใบย่อยจำนวนมาก ใบย่อยมีขนและรูปร่างเรียวแหลมหรือรูปไข่ ปลายเรียวแหลม ดอกสีแดงยาว ๑๐-๑๕ มิลลิเมตร มีทั้งดอกตัวผู้และดอกตัวเมียออกรวมกันเป็นช่อใหญ่ ดอกยาวขนาดใกล้เคียงกับความยาวของใบ ผลสีน้ำตาล รูปร่างคล้ายรูปไข่ ขนาดกว้าง ๕-๑๒ มิลลิเมตร ยาว ๑๐-๑๗ มิลลิเมตร <br />
<br />
“หลากหลายตำนาน หลากหลายป่า ของ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>” <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>…<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ที่ใช้เปรียบเสมือนไม้เท้าของท่านอาลี <br />
<br />
…แสดงถึงความทรงพลังและความมีอายุยืน <br />
<br />
ชาวไทยมุสลิมภาคใต้จะเรียก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ว่า ตงกัท อาลี (Tongkat Ali) ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับที่คนมาเลเซียเรียกกัน “ตงกัท” แปลว่าไม้เท้า “อาลี” คือ นักรบที่เก่งกล้า มีพละกำลังแข็งแกร่ง ในประวัติศาสตร์ของศาสนาอิสลาม ท่านอาลีรบเคียงข้างมากับท่านศาสดานบีมูฮำหมัด (ซ.ล) ดังนั้นชื่อ “ตงกัทอาลี” จึงมีความหมายถึงความทรงพลังและความมีอายุยืน จากการเรียกชื่อเช่นนั้นทำให้เชื่อกันว่า <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>เป็น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ที่มีการใช้มานานนับพันปีแล้ว ชุมชนในสามจังหวัดภาคใต้ นิยมนำทั้ง “แก่นและราก” ของตงกัทอาลีมาต้มน้ำกินวันละ ๓-๔ ครั้งและก่อนนอน ถือเป็นยาโด๊บชั้นยอด สามารถบำรุงกำลังและบำรุงสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย แม้จะมีรสขมจัดก็ตาม นอกจากต้มกินแล้วบางคนยังใช้ทำเป็นชา ชงกินต่างใบชา เพื่อบำรุงกำลัง นอกจากจะใช้ประโยชน์ในการเป็นยาโด๊บแล้ว “ตงกัท อาลี” ยังใช้ต้มกินเพื่อป้องกันและรักษาไข้ป่า แก้ปวดเมื่อย แก้ปวดทั่วไป <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>...<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>เพิ่มพลัง<br />
ของพรานไพร และนายฮ้อย <br />
<br />
พ่อสมจิต ตีเหล็ก ลูกชายหมอยา ปู่อ่ำ ตีเหล็ก จากจังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันพ่อสมจิตมีอายุ ๗๔ ปี พ่อเล่าว่าสมัยก่อนนายฮ้อย หรือผู้ต้อนฝูงควายตระเวนขายตามหมู่บ้านต่างๆ ทั่วประเทศไทย ต้องร่อนเร่ข้ามเขา ข้ามห้วย บางครั้งต้องเดินทางผ่านป่าผ่านดงเป็นเดือนๆ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>บบำรุงกำลังที่คู่มากับการเดินทางไกลและยาวนานก็คือ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a> พวกนายฮ้อยจะใช้ราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ต้มน้ำดื่ม ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง อดทน คลายอาการปวดเมื่อย ป้องกันและรักษาอาการไข้ขึ้นระหว่างเดินทาง ทำให้แผลหายเร็วขึ้นด้วย และยังใช้ราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ผสมกับ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>โลดทะนงแดง ทารกวัวรกควายเพื่อเบื่อหมาในที่มักชอบมาขโมยลูกวัวลูกควายคลอดใหม่ นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการดื่มน้ำต้มราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>นอกจากเพื่อบำรุงกำลังให้ข้ามเขาข้ามห้วยได้แล้ว ยังกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศ ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี บรรเทาอาการผื่นคันบริเวณผิวหนัง <br />
<br />
ส่วนพ่อบุญมี ได้ฤกษ์ พรานไพรแห่งป่าเขาใหญ่ (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) เคยเล่าให้ฟังว่า ในการเดินป่านั้นจะขาด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ไม่ได้ เพราะ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ต้มกินทำให้มีกำลังเดินป่าเดินเขา ใช้รักษาไข้ป่า เวลาที่ปวดท้องอย่างแรง (กระเพาะอาหารอักเสบเฉียบพลัน) ถ้าใช้ต้มกินหรือเคี้ยวกินทันทีอาการจะหายเป็นปลิดทิ้ง หรือถ้ามีอาการปวดท้องจากโรคกระเพาะก็ใช้ได้ผล และพ่อบุญมียังเล่าว่าราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ใช้ในการรักษาตัดไข้ แก้พิษทุกชนิด เช่น พิษแมลงสัตว์กัดต่อย พิษฝี ทั้งฝีภายใน ฝีภายนอก และพุพอง พรานสมัยก่อนจึงมักจะมีราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ตากแห้งติดตัวติดบ้านไว้เสมอ <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>…หยิกบ่ถอง<br />
ทำให้หนังเหนียวครา…ออกรบ <br />
<br />
ตาส่วน สีมะพริก และคุณบุญล้วน จันทร์นวล เล่าตรงกันว่า ในสมัยก่อนคนที่ออกรบจะต้องพก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ติดตัวไปด้วย ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ก่อนเข้าสู่สนามรบให้นำมาเคี้ยวกินจะทำให้อยู่ยงคงกะพัน มีเรี่ยวแรงในการรบ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u> </a>จึงได้ชื่อว่า หยิกบ่ถอง อีเฒ่าหนังหยาน ซึ่งมีความหมายของความเป็นคนหนังเหนียว ผิวหนังไม่มีความรู้สึกใดๆ แต่การจะเอาราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>มาใช้ต้องทำพิธีขอ แล้วจึงขุดรากขึ้นมา เมื่อขุดรากขึ้นมาเรียบร้อยก็ต้องทำพิธีปลุกเสกอีกครั้ง ถึงจะนำมาใช้ได้ เชื่อว่าเมื่อเคี้ยวกินหรือฝนกิน จะทำให้หนังเหนียวมีพละกำลังมากขึ้น <br />
<br />
เป็นที่น่าแปลกใจว่า การศึกษาวิจัยสมัยใหม่พบว่า<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>มีสรรพคุณในการเพิ่มความแข็งแรงของนักกีฬาได้อย่างชัดเจนด้วย <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>…ขมสามดอย ยาดีของไทยใหญ่ <br />
<br />
มีครั้งหนึ่งเมื่อต้องเดินป่าไปเก็บยา<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>กับหมอยาไทยใหญ่ ที่ตำบลเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ พ่อหมอยาได้พาเดินไต่เขาไปสองสันเขา เพื่อไปดูยา<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ต้นที่มีชื่อว่า ขมสามดอย อันมีความหมายถึงเดินขาลากไปสามดอยแล้วยังไม่หายขม หรือทำให้มีกำลังเดินได้ถึงสามดอยก็ได้ เจอต้นขมสามดอยของไทยใหญ่ก็เป็นต้นเดียวกับ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ที่คุ้นเคยอยู่แล้ว พ่อหมอยังบอกอีกว่า ราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ต้มกินแก้ไข้หนาวสั่น (ซึ่งน่าจะเป็นไข้มาลาเรีย) จะใช้เฉพาะตัวมันตัวเดียวหรือต้มรวมกับงูเห่าเหลือง (เถางูเห่า) ก็ได้ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าใช้ราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ต้มกิน ทำให้หนังเหนียว คงกะพัน บำรุงกำลังอย่างยอด <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a> …ยาล้างพิษยาเสพติด <br />
<br />
ปลาไหลเผือกค่อยๆ ถูกลืมไปพร้อมกับการพัฒนาโรงพยาบาลสมัยใหม่ แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีวัดวาอารามหลายแห่งประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้านในการรักษายาเสพติด โดยนำ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>แก้พิษของหมอยาโบราณมาใช้ในการดูแลผู้ป่วย <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ที่นำกลับมาใช้ใหม่ มาในนามของยาสามรากอันประกอบด้วย ราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a> รากโลดทะนงแดง ต้นฮังฮ้อน โดยโลดทะนงแดง (นางแซง) มีสรรพคุณ ถอนพิษยาเบื่อเมา ทำให้อาเจียน ทำให้ถ่าย <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a> (พญารากเดียว) มีสรรพคุณ แก้ไข้ ถ่ายพิษ บำรุงกำลัง ฮังฮ้อน (พญารากไฟ) แก้เลือดไม่เดิน ทำให้เลือดเดินสะดวก ทั้งสามอย่างนี้ใช้แก้อาการลงแดงจากยาเสพติด เอายาสามรากฝนกับน้ำมะนาวกินก่อนอาหาร เช้า-เย็น หรือต้มน้ำดื่มก็ได้ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>…จึงได้รับการพูดถึงอีกครั้งหนึ่ง <br />
<br />
แต่เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวคราวการจดสิทธิบัตร<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ที่มีอยู่ในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ในการเป็นยาเพิ่มสมรรถภาพของเพศชายในประเทศสหรัฐอเมริกา… “<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>” <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>…RETURN!<br />
<div style="float: right;">
<script type="text/javascript">
<!--
google_ad_client = "ca-pub-8494111650739002";
/* SAM-336x280 */
google_ad_slot = "8155589055";
google_ad_width = 336;
google_ad_height = 280;
//-->
</script> <script src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type="text/javascript">
</script></div>
การศึกษาวิจัยสมัยใหม่ <br />
<br />
สารสกัดราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ทำให้เกิดการตื่นตัวทางเพศ ทำให้มีความคงทนในการมีเพศสัมพันธ์ได้นานขึ้น<br />
<br />
จากความเชื่อของคนพื้นเมืองในประเทศที่มี<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>สมุนไพรปลาไหลเผือก</u></a>อยู่ เชื่อว่า<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ชนิดนี้มีสรรพคุณในการเป็นยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งมีการศึกษาทั้งในหนูสูงอายุ หนูอายุปานกลาง หนูหนุ่มที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ พบว่า กลุ่มที่ได้รับสารสกัดราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ถูกปลุกเร้าทางเพศและมีความคงทนในการมีเพศสัมพันธ์ได้ดีกว่าหนูกลุ่มควบคุม ซึ่งการศึกษาดังกล่าวสนับสนุนการใช้ประโยชน์ของคนพื้นเมืองเหล่านั้น แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีการศึกษาในคนถึงประสิทธิผลของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ชนิดนี้ <br />
<br />
สารที่มีรสขมในราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>คือ Eurycomalactone, Eurycomanol และ Eurycomanone ทั้งสามชนิดมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อมาเลเรียฟาลซิปาลัม (Plasmodium falciparum) ในหลอดทดลอง <br />
<br />
จากการใช้ของหมอยาพื้นบ้านที่ใช้ราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ต้มกินแก้มาลาเรีย และในการศึกษาทดลองหลายการศึกษาพบว่า สารสกัดจากราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อมาลาเรียในหลอดทดลอง ซึ่งสนับสนุนการใช้ประโยชน์จาก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ของคนพื้นเมือง ซึ่งต้องมีการหาขนาดที่เหมาะสมและปลอดภัยที่จะใช้ในคนต่อไป <br />
<br />
สารสกัดราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>มีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง ต้านเชื้อ HIV <br />
<br />
ในการตรวจสอบเบื้องต้น(Screening Test) สำหรับฤทธิ์การต้านมะเร็งพบว่า สารสกัด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งปอด (Human lung cancer (A-549) cell lines) เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งเต้านม (human breast cancer (MCF-7) cell lines) นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อ HIV อีกด้วย <br />
<br />
สารสกัดราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>มีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) <br />
<br />
มีการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดจากราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>กระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเพศชายซึ่งนำไปสู่การจดสิทธิบัตรสารเคมีและวิธีการสกัด โดยมีสรรพคุณในการเพิ่มกล้ามเนื้อและความแข็งแรงของนักกีฬา <br />
<br />
สารสกัด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>สมุนไพรปลาไหลเผือก</u></a>ได้รับการจดสิทธิบัตรสหรัฐอเมริกา <br />
<br />
จดสิทธิบัตรส่วนประกอบของสารสกัดจากพืชในการรักษาอาการหัวล้านในเพศชาย (Male pattern baldness) ในปี ๒๐๐๓ (พ.ศ. ๒๕๔๖) <br />
<br />
จดสิทธิบัตรเป็นยาทาภายนอกในลักษณะ Topical home opathic composition ในการเพิ่มระดับของฮอร์โมนเพศชาย Testosterone และฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต (Growth hormone) ในปี ๒๐๐๓ (พ.ศ. ๒๕๔๖) <br />
<br />
จดสิทธิบัตรสารเคมีที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเพศชาย ในปี ๒๐๐๔ (พ.ศ. ๒๕๔๗) <br />
<br />
จดสิทธิบัตรส่วนประกอบและวิธีการในการเพิ่มกล้ามเนื้อและความแข็งแรง เพิ่มสมรรถภาพของนักกีฬา ลดไขมันและนำไปสู่การลดน้ำหนักในปี ๒๐๐๖ (พ.ศ. ๒๕๔๙) <br />
<br />
จดสิทธิบัตรในการเป็นยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศในรูปแบบของยาเม็ดและยาแคปซูล ในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยมีส่วนประกอบของสารสกัด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ร่วมกับตัวอื่น ในปี ๒๐๐๖ (พ.ศ. ๒๕๔๙) <br />
<br />
จดสิทธิบัตรการปรับระดับฮอร์โมนเพศชาย (Systemic androgen) ด้วยการใช้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a> ในปี ๒๐๐๗(พ.ศ. ๒๕๕๐) <br />
<br />
เป็นที่น่าดีใจที่<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ที่หมอยาไทยเคยใช้อย่างแพร่หลาย ได้รับการจดสิทธิบัตรในประเทศสหรัฐอเมริกา…แต่น่าเสียใจตรงที่ว่าคนที่จดนั้นไม่ใช่คนไทยหรือบริษัทของคนไทย… ขอชื่นชม “มาเลเซีย” ที่มีการศึกษาวิจัยจากภูมิปัญญาพื้นบ้านจนนำไปสู่การจดสิทธิบัตรและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ <br />
<br />
การใช้ในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ <br />
<br />
มีผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของผงราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>บรรจุในแคปซูลขนาด ๔๐๐ มิลลิกรัม เพื่อใช้เป็นอาหารเสริม ในการบำรุงสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งแนะนำให้กินตอนเช้าก่อนอาหาร ในการใช้ระยะยาวให้กิน ๒ วัน หยุด ๒ วัน หรือวันเว้นวัน หรือทุก ๓ วัน ซึ่งประสิทธิภาพขึ้นกับอายุ กลไกของร่างกาย บางคนอาจใช้ขนาดที่ต่ำกว่า ซึ่งผู้ผลิตมักจะแนะนำให้ใช้ในขนาดที่ต่ำๆ ก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง <br />
<br />
ข้อควรระวังในการใช้ <br />
<br />
มีการศึกษาถึงพิษเฉียบพลัน โดยกองวิจัยการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ไม่พบความเป็นพิษ <br />
<br />
หมอยาพื้นบ้านรู้ว่า<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ชนิดนี้เป็น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ที่มีพิษเบื่อเมาด้วย ดังนั้นจึงต้องระวังในการใช้เป็นยารับประทาน สำหรับบางคนเมื่อรับประทานอาจจะมีอาการปวดเมื่อย วิงเวียน หรือมีไข้อ่อนๆ แก้ไขโดยการหยุดรับประทานแล้วดื่มน้ำเยอะๆ จนกว่าอาการจะหายไป ทางที่ดีควรเริ่มรับประทานในปริมาณน้อยๆ ก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณตามคำแนะนำ <br />
<br />
ไม่ควรดองเหล้าแม้ว่าจะมีหลายพื้นที่ใช้ดองเหล้ารับประทานเพื่อเป็นยาบำรุงกำลังเพราะมีสารอัลคาลอยด์ที่ละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ที่เป็นพิษอยู่ <br />
<br />
ในการใช้เป็นยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศไม่ควรรับประทานผงยาเกิน ๑ กรัมต่อวัน และไม่ใช้ติดต่อกันนานเกิน ๑ เดือน ซึ่งควรใช้และหยุด ในระยะเวลาเท่าๆ กัน <br />
<br />
การใช้ในปริมาณสูงและติดต่อกันนานอาจเกิดผลข้างเคียงของแอนโดรเจน คือทำให้ต่อมลูกหมากโตและทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ <br />
<br />
“ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>พบได้ทั่วไป ทั่วทุกภาคในประเทศไทย และพบในพม่า ลาว เขมร มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บอร์เนียว อินโดนีเซีย ซึ่งคนพื้นเมืองในประเทศเหล่านี้ใช้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768" target="_blank"><u>ปลาไหลเผือก</u></a>ในการเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ แก้ไข้มาเลเลีย แก้ไข้เรื้อรัง แก้ปวด แก้ฝี แก้แผลเรื้อรัง แก้บวม แก้บิด แก้ปวดท้อง เป็นต้น ” <br />
<br />
<br />
<br />
<span id="lab_con_description">เราหวังว่า ทุกท่านได้ประโยชน์ที่อ่านบทความนี้ตามพอสมควร<br />
ขอความกรุณาคลิ๊กปุ่ม +1 , ปุ่ม Like ,ปุ่ม Tweet และ แสดงความเห็น ให้เราด้วยนะครับ เพือปรับปรุงบทความต่อๆไป ขอบคุณครับ </span><br />
อ้างอิง : <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768">http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00768</a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-78153849303302575632012-01-06T14:32:00.001+07:002012-01-06T14:38:09.776+07:00ต้นสนฉัตร์<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00767" target="_blank"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-SUl5dZVxv9g/Twaitk0Un2I/AAAAAAAAAPI/NtPchB8St04/s1600/550106-299-4.gif" /></a></div>
<br />
<h1 style="text-align: center;">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00767" target="_blank">สนฉัตร์</a></h1>
<table>
<tbody>
<tr>
<td>ชื่อสามัญ <br />
ชื่อวิทยาศาสตร์<br />
ตระกูล</td>
<td>Nolfolk island pine <br />
Aruacaria heterophylla. <br />
ARUCARIACEAE</td>
</tr>
</tbody>
</table>
<br />
ลักษณะทั่วไป <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00767" target="_blank"><b>สนฉัตร์</b></a> เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 5-15 เมตร ผิวเปลือกลำต้นสีน้ำตาล ลำต้นมีตุ่มเล็ก ๆ <br />
<br />
ขึ้นรอบต้น ลำต้นกลมทรงพุ่มโปร่ง และมีเกล็๋ดใบเล็ก ๆ ออกตามต้นส่วนยอดการเจริญแตกกิ่งก้านเป็นชั้นๆออกไปตาม แนวนอน ส่วนลำต้นขึ้นตรงไปใบเป็นใบกระกอบออกตามกิ่งก้านเป็นเกล็ด มีลักษณะเป็นขนสั้นเล็กมีสีเขียว เรียงตัวกันแน่น <br />
<br />
การเป็นมงคล <br />
<br />
คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นสนฉัตรไว้ประจำบ้าน จะทำให้เกิดความสนใจจากบุคคลทั่วไป เพราะ สน คือการสนใจ เห็นใจ ในสิ่งที่ดีงามนอกจากนี้ยังทำให้มีเกียรติและความสง่า เพราะ สนฉัตร มีทรงพุ่มลักษณะคล้ายเครื่องสูงที่ใช้ในพิธแห่เกียรติยศ และลักษณะการเจริญของลำต้นกิ่งก้านเด่นชัด ตระหว่านงาม <br />
<br />
ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก <br />
<br />
เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นสนฉัตรไว้ทางทิศเหนือผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาคุณทั่วไปให้ปลูกในวันเสาร์ ถ้าจะให้เป็ฯมงคลมากยิ่งขึ้น ผู้ปลูกควรเป็นผู้ใหญ่ที่ควรเคารพนับถือ และเป็นผู้ประกอบคุณงามความดีก็จะเป็นสิริมงคลยิ่งนัก <br />
<br />
การปลูกมี 2 วิธี <br />
<br />
1 .การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน ขนาดหลุมปลูก 50 x 50 x 50 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 : 2 ผสมดินปลูก <br />
<br />
2. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคาร นิยมใช้กับต้นสนฉัตรอายุระหว่าง 1-3 ป การปลูกควรใช้กระถางทรงสูง ขนาด12-18 นิ้วใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก:แกลบผุ:ดินร่วนอัตรา 1:1:1 ผสมดินปลูกควรเปลี่ยนกระถางแล้วแต่ความเหมาะ สมของทรงพุ่ม ถ้าต้นสนฉัตรมีอาจุมากกว่า 5 ป ขึ้นไป เหมาะที่จะปลูกในแปลงปลูกเพราะทรงพุ่มโตขึ้น <br />
<br />
การดูแลรักษา<br />
<div>
<table>
<tbody>
<tr>
<td>แสง <br />
น้ำ <br />
ดิน <br />
ปุ๋ย <br />
การขยายพันธ์ <br />
โรค <br />
ศัตรู <br />
อาการ <br />
การป้องกัน <br />
การกำจัด</td>
<td>ต้องการแสงแดดปานกลาง จนถึงแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง <br />
ต้องการปริมาณน้ำมาก ควรให้น้ำ 3-5 วัน/ครั้ง <br />
ชอบดินร่วนซุย มีความชื้นสูง <br />
ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ปีละ 3-5 ครั้ง <br />
การปักชำ การเพาะเมล็ด วิธีที่นิยมและได้ผลดี คือ การเพาะเมล็ด <br />
โรครากเน่า <br />
ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องศัตรู เพราะเป็นไม้ที่ทนทานต่อการทำลายของศัตรูพอสมควร <br />
ใบซีดเหลือง ร่วง และแห้งตาย เกิดบริเวณปลายกิ่ง <br />
ควบคุมการให้น้ำ และความชื้นในดินที่เหมาะสม <br />
ใช้ยาแคปแทน ไซแนบ อัตราและคำแนะนำระบุไว้ตามฉลาก</td>
</tr>
</tbody>
</table>
</div>
<br />
<br />
<br />
เราหวังว่า เกษตรทุกท่านได้ประโยชน์ที่อ่านบทความนี้ตามพอสมควร <br />
ขอความกรุณาคลิ๊กปุ่ม +1 , ปุ่ม Like ,ปุ่ม Tweet และ แสดงความเห็น ให้เราด้วยนะครับ เพือปรับปรุงบทความต่อๆไป ขอบคุณครับ <br />
อ้างอิง : <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00767">www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00767</a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-38740877322941752362012-01-06T09:37:00.002+07:002012-01-06T09:51:29.329+07:00เคล็ดลับสำหรับการปลูกเมล็ดวิธีที่ถูกต้อง<div style="float: left;">
<table>
<tbody>
<tr>
<td><a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-hDl39L9xvV8/TwZeHZCOfLI/AAAAAAAAAPA/rgvVCYTmBUs/s1600/550105-299-4.JPG" /></a></td>
</tr>
</tbody>
</table>
</div>
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><b>เคล็ดลับการปลูกเมล็ดพันธุ์พืช -- เคล็ดลับสำหรับการปลูกเมล็ดวิธีที่ถูกต้อง?</b></a> <br />
<br />
ความน่าเชื่อถือใด ๆ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a> บ้านสามารถขึ้นอยู่กับความสำหรับ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์</u></a>ที่ดี แต่แม้ดังนั้นมีความเสี่ยงที่ดีใน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a> <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์</u></a>อาจไปปรากฏตัวทั้งหมดจะถูกต้องและยังไม่ได้มีอยู่ภายในพลังเพียงพอหรือพลังงานในการผลิตที่บึกบึน พืช <br />
<br />
ถ้าคุณบันทึกจากพืช<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a>ของคุณเองคุณสามารถที่จะเลือกอย่างระมัดระวัง สมมติว่าคุณจะประหยัด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์</u></a>ของพืชดอกแอสเตอร์ อะไร บุปผา คุณจะต้องตัดสินใจ? ตอนนี้มันไม่ได้เป็นดอกเดียวที่คุณจะต้องพิจารณา แต่พืชทั้งหมด ทำไม? เพราะอ่อนแออย่างพลัดพรากพืชอาจผลิตดอกหนึ่งที่ดี กำลังมองหาที่ที่หนึ่งที่บานสะพรั่งสวยงามดังนั้นจริงๆคุณคิดว่าของพืชที่น่ารักอย่างเท่าเทียมกันนับไม่ถ้วนที่คุณจะได้จาก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a>ที่ แต่ก็เป็นแนวโน้มที่จะเป็น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a>ไม่ได้ที่จะผลิตพืชเช่นพืชที่ผู้ปกครอง <br />
<br />
ดังนั้นในการเลือก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์พืช</u></a>ทั้งหมดจะได้รับการพิจารณา มันเป็นความทนทานแข็งแรงดีและมีรูปทรงสมมาตร; ไม่ได้มีจำนวนของบุปผางามดี? เหล่านี้เป็นคำถามที่จะถามในการเลือก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์</u></a> <br />
<br />
หากคุณควรจะเกิดขึ้นจะได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมสวนของคนขาย<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์</u></a>ที่คุณจะเห็นที่นี่และมีดอกด้วยสตริงที่ผูกรอบมันเป็น เหล่านี้เป็นบุปผาเลือกสำหรับ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์</u></a> ถ้าคุณดูที่โรงงานทั้งหมดที่มีการดูแลที่คุณจะสามารถเห็นจุดที่สวนที่จัดขึ้นในใจเมื่อเขาได้ทำงานของเขาในการเลือก <br />
<br />
ในขนาดที่เลือก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a>ชี้ไปที่ค้างในใจอีกคือ ตอนนี้เรารู้วิธีที่ไม่มีการบอกอะไรเกี่ยวกับพืชที่ได้จากที่นี้คอลเลกชันพิเศษของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a>มา ดังนั้นเราต้องให้ความคิดทั้งหมดของเราเพื่อให้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์</u></a>ของตัวเอง มันค่อนข้างชัดว่ามีทางเลือกบางอย่าง; บางคนมีขนาดใหญ่กว่าคนอื่น ๆ ; บาง plumper ไกลเกินไป โดยทั้งหมดหมายความว่าการเลือก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์</u></a>ที่ใหญ่ที่สุดและอย่างเต็มที่ เหตุผลก็คือการนี??้เมื่อคุณตัดเปิดถั่วและนี้เป็นที่เห็นได้ชัดมากเกินไปในถั่วลิสงที่คุณเห็นสิ่งที่ปรากฏจะเป็นพืชเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังนั้นจึงเป็น ภายใต้เงื่อนไขเพียงที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนานี้'น้อยแตก'เติบโตขึ้นในต้นถั่วที่คุณรู้จักเป็นอย่างดี <br />
<br />
โรงงานเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ต้องขึ้นอยู่กับการเจริญเติบโตในช่วงต้นของมันในการบำรุงรักษาเก็บไว้ในที่สองครึ่งหนึ่งของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์</u></a>ถั่ว เพื่อวัตถุประสงค์นี้ อาหาร จะถูกเก็บไว้ ถั่วจะไม่เต็มรูปแบบของอาหารและความดีงามสำหรับคุณและฉันจะกิน แต่ของต้นถั่วทารกน้อยที่จะเลี้ยงเมื่อ และดังนั้นหากเราเลือก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์</u></a>ที่มีขนาดใหญ่ที่เราได้เลือกจำนวนมากของอาหารสำหรับ plantlet นี้ plantlet น้อยฟีดเมื่ออาหารที่เก็บไว้นี้จนกว่าจะมีรากของมันกำลังเตรียมที่จะทำงานของพวกเขา ดังนั้นหาก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์</u></a>ที่มีขนาดเล็กและบางแหล่งอาหารครั้งแรกไม่เพียงพอมีความเป็นไปได้ของการสูญเสียของโรงงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็น <br />
<br />
คุณอาจสนใจที่จะทราบชื่อของห้องครัวของอาหารนี้ มันถูกเรียกว่าใบเลี้ยงหากมี แต่ส่วนหนึ่ง, cotyledons ถ้าสอง ดังนั้นเราจะช่วยในการจำแนกประเภทของพืช พืชบางที่แบกกรวยเช่นต้นสนที่มีหลาย cotyledons แต่พืชส่วนใหญ่จะมีหนึ่งหรือสอง cotyledons <br />
<br />
จาก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a>ขนาดใหญ่ที่ต้นกล้าที่แข็งแกร่งมา นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมันเป็นดีกว่าและปลอดภัยในการเลือก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์</u></a>ที่มีขนาดใหญ่ มันเป็นกรณีเดียวกันว่าเป็นของเด็กที่อ่อนแอ <br />
<br />
มักจะมีปัญหาอื่นที่อยู่ใน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a>ที่เราซื้อ ปัญหาคือสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a>จะผสมกับ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a>บางครั้งอื่น ๆ เช่นพวกเขาในลักษณะที่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจสอบการทุจริต ธุรกิจสวยดีก็ไม่ได้? <u>เมล็ด</u>อาจจะไม่สะอาด บิตของต่างประเทศในเรื่องที่มี<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a>ขนาดใหญ่ได้ง่ายมากที่จะค้นพบ เพียงหนึ่งสามารถเลือก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์</u></a>ที่มากกว่าและทำให้มันสะอาด โดยการทำความสะอาดจะหมายถึงอิสระจากสิ่งแปลกปลอม แต่ถ้า<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a>ขนาดเล็กที่มีมลทินก็เป็นเรื่องยากมากที่ดีเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พวกเขาทำความสะอาด <br />
<br />
สิ่งที่สามที่จะดูออกใน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a>จะมีชีวิต เรารู้จากทดสอบของเราว่า<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a>ที่มองไปที่ตาจะเป็นสิทธิทั้งหมดที่ไม่อาจพัฒนาได้ทั้งหมด มีเหตุผลที่จะ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a>อาจได้รับเลือกก่อนที่จะถูกสุกหรือผู้ใหญ่พวกเขาอาจได้รับการแช่แข็งและพวกเขาอาจจะเก่าเกินไป รักษา<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์พืช</u></a>หรือเชื้อโรคมีชีวิตพลังงานการพัฒนาของพวกเขาเป็นตัวเลขที่กำหนดของปีที่แล้วและมีประโยชน์ มีการ จำกัด การเติบโตในปีที่แตกต่างสำหรับ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์</u></a>ที่แตกต่างกัน <br />
<br />
จากการทดสอบของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์</u></a>ที่เราหาเปอร์เซ็นต์การงอกของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a> ตอนนี้ถ้าเปอร์เซ็นต์นี้จะต่ำไม่ต้องเสียเวลาการเพาะปลูก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์</u></a>ดังกล่าวเว้นแต่จะเป็น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a>เล็ก ทันทีที่คุณคำถามคำสั่งที่ ขนาดของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์</u></a>ที่ไม่สร้างความแตกต่างทำไม? นี่คือเหตุผลที่ เมื่อ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a>เล็กจะปลูกหว่านมันเป็นปกติในการฝึกซ้อม มือสมัครเล่นส่วนใหญ่จะโรย<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a>ในหนาแน่นมาก ดังนั้นปริมาณของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์</u></a>ที่ดีจะปลูก และ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a>พอ germinates และมาจากการปลูกใกล้ชิดเช่น ดังนั้นปริมาณที่ทำให้ขึ้นที่มีคุณภาพ <br />
<br />
แต่จะใช้กรณีของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a>ขนาดใหญ่เช่นข้าวโพดตัวอย่างเช่น ข้าวโพดจะปลูกเพียงเพื่อให้ห่างไกลและมีเพียงไม่กี่เมล็ดในสถานที่ ด้วยเช่นวิธีการในการเพาะปลูกสำคัญของร้อยละของการงอกเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดอย่างแน่นอน <br />
<br />
เมล็ดขนาดเล็กที่งอกที่ร้อยละห้าสิบ อาจจะใช้ แต่นี้ต่ำเกินไปร้อยละ สำหรับ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ดพันธุ์</u></a>ที่มีขนาดใหญ่ สมมติว่าเราทดสอบ ถั่ว ร้อยละเจ็ดสิบคือ หาก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764" target="_blank"><u>เมล็ด</u></a>ต่ำ - พลังปลูกเราไม่อาจจะเป็นบางอย่างจากร้อยละเจ็ดสิบขึ้นมา แต่ถ้าเมล็ดที่มีผักกาดหอมไปข้างหน้ากับการปลูก <br />
<br />
<br />
เราหวังว่า ทุกท่านได้ประโยชน์ที่อ่านบทความนี้ตามพอสมควร<br />
ขอความกรุณา แสดงความเห็น ให้เราด้วยนะครับ เพือปรับปรุงบทความต่อๆไป ขอบคุณครับ <br />
อ้างอิง : <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764">http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00764</a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-240337722595475371.post-32683303130815561952012-01-05T13:36:00.001+07:002012-01-05T13:39:51.459+07:00เรื่องน่ารู้ของเดือย : ธัญพืชเพื่อสุขภาพ ขับปัสสาวะ ต้านมะเร็ง รักษาหูด<div align="center">
<table>
<tbody>
<tr>
<td style="text-align: center;"><div class="separator" style="clear: both;">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-qP3ethAeJiQ/TwVAuvi39_I/AAAAAAAAAOU/KrZ9xz5q6wc/s1600/550105-299-3.JPG" /></a><a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-ZcOi5KLQWyo/TwVAvL41epI/AAAAAAAAAOY/N4jND4wOxLQ/s1600/550105-299-3-1.JPG" /></a><a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-aZia2gTJ31k/TwVAvgqfeUI/AAAAAAAAAOg/IoI4Ym12Oxk/s1600/550105-299-3-2.jpg" /></a><a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-n1zXjxOjuVA/TwVAwQVHipI/AAAAAAAAAOo/9Hiwbn31DAE/s1600/550105-299-3-3.jpg" /></a><a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-aRtr6sDMkJg/TwVAw3USNWI/AAAAAAAAAOw/4fMccBu7WrE/s1600/550105-299-34.jpg" /></a></div>
</td>
</tr>
</tbody>
</table>
</div>
<h1 style="text-align: center;">
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u></u></a><u><a href="http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID=240337722595475371&postID=3268330313081556195">สมุนไพรเดือย</a> </u></h1>
<b>เรื่องน่ารู้ของเดือย : ธัญพืชเพื่อสุขภาพ ขับปัสสาวะ ต้านมะเร็ง รักษาหูด</b> <br />
<br />
ในสมัยเด็ก เคยเห็น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>ต้นเดือย</u></a>อยู่หนึ่งกอที่ข้างบ่อน้ำหลังบ้าน เมล็ด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>ลูกเดือย</u></a>ลักษณะเหมือนหยดน้ำ เปลือกแข็งๆ มีไส้ตรงกลาง เวลาดึงออกจะเป็นรูให้เด็กน้อยร้อยเป็นสายสร้อยใส่ได้อย่างดี มันดูสวยงามยิ่งนักในความรู้สึกของเด็กๆ ในงานบุญที่วัดตอนออกพรรษา ยังเห็นพวกผู้ใหญ่เอา<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>ลูกเดือย</u></a>มาร้อยเป็นพวงระย้า ตกแต่ง แวววาว ประดับประดาปนกับดอกไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ต่างๆ ดูสวยงามราวกับการเฉลิมฉลองการกลับมาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากสรวงสวรรค์จริงๆ <br />
<br />
ตอนนั้นรู้ว่า<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>ลูกเดือย</u></a>กินได้เพราะพวกผู้ใหญ่เอามาทำขนม<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>ลูกเดือย</u></a>เปียกให้กิน ผู้ใหญ่มักบอกว่ากินลูก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>เดือย</u></a>แล้วมันเป็นยา จึงพยายามกัดแทะเจ้า<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>ลูกเดือย</u></a>หินหลังบ้านกินบ้างแต่ก็กัดไม่เข้าเพราะเปลือกมันแข็งมาก พอโตขึ้นจึงรู้ว่า<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>ลูกเดือย</u></a>มีสองชนิด ชนิดที่มีเปลือกผลแข็งชาวบ้านมักเรียก <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>เดือย</u></a>หิน เป็นชนิดที่กินไม่ได้ แต่ชาวบ้านนิยมปลูกไว้เพื่อเป็นยาและไว้ทำสายสร้อย ชาวเขาพวกกะเหรี่ยงแม้วยังปลูกไว้ทำเป็นลูกปัดประดับกระเป๋า ย่าม เสื้อ เป็นต้น และอีกชนิดที่มีเปลือกผลอ่อนนั้นกินได้ ชาวบ้านเรียก <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>เดือย</u></a>กิน หรือ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>เดือย</u></a> เฉยๆ ซึ่งมีการปลูกเพื่อใช้ทำเป็นอาหารและทำยาได้เช่นกัน <br />
<br />
การที่เจ้า <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>เดือย</u></a>หิน มีเปลือกแข็งกินไม่ได้นั้นกระมัง จึงทำให้ตอนนี้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>เดือย</u></a>หินได้หายไปจากหมู่บ้านจนไม่มีเหลือเลยสักกอ ทั้งที่แต่ก่อนมีอยู่ตั้งหลายกอ สายสร้อยมุกแสนสวยของเด็กน้อยเลยหายไปด้วย ในงานวัดจึงเหลือแต่สายสร้อยพลาสติกสีฉูดฉาดตามตลาดมาแขวนแทน ใครจะรู้บ้างนะว่าคนโบราณเชื่อว่า ถ้าสวมสายสร้อยที่ร้อยด้วย<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>ลูกเดือย</u></a>แล้วจะทำให้ “โชคดี” <br />
<br />
ส่วน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>เดือย</u></a>กินนั้นไม่เคยมีในหมู่บ้านอยู่แล้ว ถ้าอยากทำขนมก็จะไปหาซื้อมาจากตลาด เจ้า<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>เดือย</u></a>กินนั้นอาการไม่น่าเป็นห่วงเพราะยังมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ ยังใช้ทำอาหารหวานกินกันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งทำได้หลากหลายแบบโดยต้องทำให้สุกก่อนเช่น ทำ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>ลูกเดือย</u></a>เปียก <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>ลูกเดือย</u></a>ใส่กะทิ ใส่น้ำแข็งไส ใส่น้ำเต้าหู้ น้ำเต้าทึง เป็นต้น <br />
<br />
<b><a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank">เดือย</a>… ยาขับปัสสาวะ รักษาระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ</b><br />
<br />
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าอีกสี่สิบปีภายหลัง ได้มีโอกาสเจอเจ้า <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>เดือย</u></a>หิน อีกครั้ง เนื่องจากตัวเองป่วยเป็นโรคระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ คุณแม่ของเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ซึ่งอยู่ที่บ้านชุมชนไทยพวน ตำบลบ้านดงกระทงยาม อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรีได้ฝากยาต้มมาให้ ยาต้มที่ว่านี้ประกอบด้วยตัวยา ๓ อย่างคือ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>เดือย</u></a>หินทั้ง ๕ หญ้าหนวดแมว ซาคนที (คนทีสอ) ต้มเคี่ยวเข้าด้วยกัน หลังจากกินยาตำรับนี้แล้วอาการดีขึ้น ยาตำรับนี้เป็นตำรับประจำของคุณยายอายุ ๘๔ ปี ซึ่งมีอาการปัสสาวะไม่ออก ปวดปัสสาวะแต่ปัสสาวะออกนิดเดียว ซึ่งคุณยายมักมีอาการนี้เป็นประจำ ทางบ้านจึงมีตำรับนี้ไว้ให้คุณยายใช้เมื่อมีอาการและได้ทราบว่าในชุมชนไทยพวนที่บ้านดงกระทงยาม และอีกหลายบ้านปลูก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>เดือย</u></a>หินไว้เพื่อใช้เป็นยาขับปัสสาวะ (รักษาอาการหลังเวลาปัสสาวะแล้วยังรู้สึกปวดปัสสาวะอยู่ หรือมีอาการปวดปัสสาวะแต่ปัสสาวะเป็นหยด ปัสสาวะไม่ออก ที่ทางการแพทย์แผนใหม่จะเรียกโรคและอาการนี้ว่า “ระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ”) <br />
<br />
นอกจากใช้เป็นยาขับปัสสาวะแล้ว หมอยาในหลายพื้นที่ยังนิยมใช้ราก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>เดือย</u></a>ต้มกินแก้ปวด แก้ไข้ แก้ไอ อีกด้วย <br />
<br />
พืชตระกูลข้าวส่วนใหญ่แล้วจะมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>เดือย</u></a>ก็เช่นกัน โดยมากฤทธิ์จะอยู่ที่ราก วิธีใช้ให้เอาทั้ง ๕ ต้มกินเป็นยาขับปัสสาวะ จะใช้เป็น<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>เดือย</u></a>ตัวเดียวหรือใช้ร่วมกับ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะตัวอื่นก็ได้ การที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะนั้น นอกจากจะเป็นประโยชน์ในการรักษาระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบแล้ว ยังช่วย “ลดอาการบวมน้ำ ลดความดัน” ได้ด้วย <br />
<br />
<b><a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank">ลูกเดือย</a>…สุดยอดธัญพืชเพื่อสุขภาพ สมุนไพรต้านมะเร็ง</b><br />
<br />
ในอดีตคนจีนนิยมใช้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>ลูกเดือย</u></a>ผสมกับข้าวต้มรับประทาน เพื่อบำรุงกำลัง หล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้บวมน้ำ ปวดข้อเรื้อรัง บำรุงม้ามและปอด แก้ท้องเสีย แก้เหน็บชา ทำให้ผิวสวย แก้ร้อนใน และยังช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็ง <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>ลูกเดือย</u></a>ให้พลังงานแก่ร่างกายสูงจึงมีสรรพคุณในการบำรุงกำลัง ที่สำคัญคือมีวิตามินบีหนึ่งมากกว่าข้าวกล้อง การที่มีวิตามินบีหนึ่งสูงนี่เองทำให้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>ลูกเดือย</u></a>ช่วย “แก้เหน็บชา” ตามความเชื่อของชาวจีนได้ <br />
<br />
<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>เดือย</u></a>เป็นอาหาร<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>สมุนไพร</u></a>ที่ “เหมาะกับผู้หญิง” อย่างยิ่ง คนสมัยก่อนเชื่อว่ากิน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>ลูกเดือย</u></a>ทำให้ผิวสวย ผมสวย บำรุงมดลูก การศึกษาสมัยใหม่พบว่าสารสกัดด้วยน้ำหรือตัวทำละลายอินทรีย์ จากรากหรือ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>เมล็ดเดือย</u></a>มีฤทธิ์ทำให้การหมุนเวียนของเลือดที่ผิวหนังดีขึ้น ทำให้เส้นผมเจริญดีขึ้น ทั้งยังมีการศึกษาพบว่าสารสกัดของ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>ลูกเดือย</u></a>มีผลกระตุ้นการเจริญของ ovarian follicle และกระตุ้นให้ไข่ตก <br />
<br />
นอกจากนี้<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>เดือย</u></a>ยังเป็นส่วนประกอบหนึ่งใน น้ำอาร์ซี เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพยอดฮิตของผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยบำรุงร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีย ช่วยให้กินอาหารได้ นอนหลับ ป้องกันโรคเหน็บชา โดยน้ำอาร์ซีนั้นประกอบด้วยข้าว ๙ ชนิด มีข้าวซ้อมมือ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เล่ย์ ข้าวฟ่าง ข้าวโอ๊ต เป็นต้น ข้าวทั้ง ๙ ชนิดนี้จะเอามาต้มรวมกัน โดยใส่เม็ดบัวและ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>ลูกเดือย</u></a>เข้าไปด้วย เมื่อข้าวต่างๆ นอนก้นแล้วจึงตักน้ำใสๆ มาดื่มขณะที่ยังร้อน น้ำใสๆ นั้นเรียกว่า “น้ำอาร์ซี” ซึ่งจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่าสาร coixenolide ใน<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>เมล็ดเดือย</u></a> มีสรรพคุณในการยับยั้งการเจริญของเนื้องอก เพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ดังนั้น น้ำ<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>ลูกเดือย</u></a> หรือน้ำที่มี<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>ลูกเดือย</u></a>เป็นส่วนประกอบอย่างเช่น น้ำอาร์ซีนั้น จึงเหมาะที่จะเป็นเครื่องดื่มของผู้ป่วยมะเร็งอย่างยิ่ง <br />
<br />
น้ำอาร์ซี (RC, rejuvenating concoction) มาจากคำที่ คุณสาทิส อินทรกำแหง ต้นตำรับแนวคิด “ชีวจิต” ให้บัญญัติคำนี้ขึ้นมาแปลเป็นไทยได้ว่า “ส่วนผสมเพื่อเพิ่มความกระชุ่มกระชวย” <br />
<br />
<b><a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank">ลูกเดือย</a>…แก้หูดเรื้อรัง ต้านเนื้องอก</b><br />
<br />
ชาวบ้านในอดีตนิยมใช้ลูก<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>เดือย</u></a>ต้มกินรักษาเนื้องอกในท้อง ปอด และหูด ในตำรายาจีน ลูก<u>เดือย</u>ยังมีสรรพคุณในการรักษาโรคหูดที่มักจะเป็นเรื้อรัง โดยมีการทดลองในคนไข้ ๒๓ ราย ให้กินลูก<u>เดือย</u> ๖๐ กรัม ต้มรวมกับข้าวรับประทานวันละ ๑ ครั้ง ติดต่อกันจนกว่าจะหาย หลังจากกินลูก<u>เดือย</u>ติดต่อกัน ๗-๗๖ วัน ได้ผลหายขาด ๑๑ ราย อาการดีขึ้น ๘ ราย ไม่ได้ผล ๖ ราย ซึ่งอาจเป็นเพราะสารจากลูก<u>เดือย</u>มีฤทธิ์ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังดีขึ้นหรือจากฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกก็แล้วแต่ ในท่านที่ต้องทนทุกข์กับการผ่าหูดแล้วผ่าหูดอีกไม่หายสักที ควรจะลองดูก็ไม่น่าเสียหายอะไร <br />
<br />
ปัจจุบันจีนสกัดสารจากเมล็ด<a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762" target="_blank"><u>เดือย</u></a>เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาและป้องกันมะเร็ง โดยยับยั้งและฆ่าเซลล์มะเร็ง กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อช่วยในการกำจัดมะเร็ง ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น ช่วยลดความปวดจากมะเร็ง ทำให้น้ำหนักที่ลดลงเพิ่มขึ้น ลดผลข้างเคียงของการฉายรังสีและเคมีบำบัด โดยไม่มีผลต่อตับ ไต หัวใจและเลือด และสามารถใช้ร่วมกันได้ดีกับการรักษาโดยการผ่าตัด <br />
<br />
การศึกษาทางเภสัชวิทยา พบฤทธิ์ที่สำคัญได้แก่ ขับปัสสาวะ แก้ปวด ลดความดันโลหิต ลดน้ำตาลและลดคอเลสเตอรอลในเลือด กดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง เพิ่มภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการตกไข่ เป็นต้น <br />
<br />
<br />
<br />
เราหวังว่า ทุกท่านได้ประโยชน์ที่อ่านบทความนี้ตามพอสมควร<br />
ขอความกรุณาแสดงความเห็น ให้เราด้วยนะครับ เพือปรับปรุงบทความต่อๆไป ขอบคุณครับ <br />
อ้างอิง: <a href="http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762">http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00762</a>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/12184529638277079555noreply@blogger.com