หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

โสม


โสม

โสมเป็นรากของพืชทำให้แห้งอยู่ในตระกูล Araliaceae แบ่งคร่าวๆว่าเป็นโสมที่มีแหล่งกำเนิดจากเอเซียเรียก Asian ginseng ( Panax ginseng C.A., Meyer) ได้โสมจากประเทศ จีน เกาหลี โสมจากประเทศอเมริกา American ginseng ( Panax quinquefolius L. ) ให้ผลการรักษาน้อยกว่าจากเอเซีย อีกชนิดหนึ่งคือ Siberian ginseng ส่วนประกอบจะไม่เหมือนสองชนิดแรก ให้ผลการรักษาอ่อนสุด

โสมเป็นสมุนไพรซึ่งนิยมใช้ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน โดยประเทศทางตะวันออก เชื่อว่าเป็นยาครอบจักรวาลช่วยเพิ่มพลัง โสมนี้ยังมีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น โสมจัน โสมญี่ปุ่น โสมเกาหลี โสมอเมริกา ผักกะโสม โสมไทย โสมดอกแดง และโสมที่นิยมใช้กันมาพันปี คือ โสมเกาหลี หรือโสมอเมริกา ซึ่งเชื่อว่ามีสรรพคุณทางยาอย่างแท้จริง

การเก็บโสม

การเก็บโสม ส่วนที่เก็บคือราก การเก็บรากโสมต้องทำให้แห้งโดยเร็ว เพื่อป้องกันมิให้ enzyme ในรากออกมาทำลาย saponin ในประเทศเกาหลีจะมีการคัดโสมคุณภาพดีจำนวนหนึ่งอบไอน้ำเพื่อฆ่า enzyme ให้หมดก่อนอบแห้ง เรียกโสมที่ผ่านกรรมวิธีนี้ว่า โสมแดง จัดเป็นโสมที่มีคุณภาพสูงสุด ราคาสูง ส่วนโสมที่นำไปตากแดด หรือทำให้แห้งโดยวิธีอื่น เรียกว่า โสมขาว คุณภาพและราคาต่ำกว่าชนิดแรก ปัจจุบันโสมเป็นสมุนไพรที่รู้จักกันดีทั่วโลก ในลักษณะอาหารเสริมสุขภาพ แต่เนื่องจากราคาค่อนข้างแพง จึงทำให้ผู้ใช้เกิดความสนใจว่า “ โสมมีคุณภาพมากมาย จริงหรือไม่?”

1.ช่วยเพิ่มพลัง คุณสมบัติต่อต้านความเมื่อยล้าของโสม ทำให้ร่างกายมีการปลดปล่อยพลังงานมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพขณะทำงานหรือออกกำลังกาย โสมช่วยให้ผนังเซลล์ดูดซึมออกซิเจนเพิ่มขึ้น มีผลทำให้ขบวนการเผาผลาญภายในร่างกายเพิ่มมากขึ้น ร่างกายจึงปลดปล่อยพลังงานได้มากขึ้น ร่างกายจึงเหน็ดเหนื่อยช้า มีความทนต่อการทำงานหนักมากยิ่งขึ้น

2.ใช้ป้องกันโรคมะเร็ง

3.เสริมภูมิคุ้มกัน มีการทดลองในสัตว์พบว่าโสมสามารถเพิ่มการตอบสนองของภูมเพิ่มขึ้น 50% มีปฏิกิริยาตอบสนองของเม็ดเลือดขาวต่อสารเคมีสูงขึ้น มีอัตราการทำลายจุลินทรีย์ หรืออนุภาคแปลกปลอมต่างๆของเซลล์เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น จำนวนเม็ดเลือดขาวเพิ่มสูงขึ้น เป็นผลทำให้ร่างกายสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อโรค ที่มีสาเหตุจากเชื้อจุลินทรีย์ เชื้อไวรัส เชื้อรา และสารเคมีต่างๆ ตลอดจนการต่อต้านโรคภูมิแพ้ หรือโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันบกพร่องชนิดต่างๆได้ดี

4.ช่วยคลายเครียด คุณสมบัติต่อต้านความเครียดของโสม ช่วยปรับสภาพร่างกายและจิตใจ ให้ทนต่อความกดดันจากภายนอก โสมจะเป็นตัวป้องกันและต่อต้านความเครียด โดยเร่งขบวนการเผาผลาญอาหารต่างๆ เพื่อปลดปล่อยพลังงานออกมาต่อต้านความเครียด

5.เป็นสมุนไพรที่ชลอความแก่่ อนุมูลอิสระที่สลายตัวจากการเผาพลาญ จะเป็นตัวทำลายเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ ให้เสื่อมสลายลง อันเป็นสาเหตุหนึ่งของความแก่ โสมสามารถทำลายอนุมูลอิสระของออกซิเจน ช่วยให้เนื้อเยื่อเสื่อมช้าลง ประกอบกับคุณสมบัติเป็นตัวปรับสภาพให้ร่างกายและจิตใจ มีความทนทานต่อความกดดัน ซึ่งช่วยลดขบวนการของความแก่ ดังนั้นโสมจึงช่วยให้ชะลอความแก่ลงได้

6.ช่วยลดน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน ในคนไข้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง โสมทำให้ต่อมในตับอ่อนหลั่งอินซูลินออกมาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันการเกิด อาการมึนชา ตามนิ้วมือนิ้วเท้า และการเกิดแผลเน่าเปื่อย นอกจากนี้ ginsenoside Rb และ ginsenoside Rc ยังออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน จึงช่วยลดขนาดการใช้อินซูลินจากภายนอกในการรักษาคนไข้โรคเบาหวานได้

7.รักษาโรคสมรรถภาพทางเพศเสื่อม ผลต่อสมรรถภาพทางเพศ ในสมัยโบราณเชื่อกันว่าโสมเป็นตัวกระตุ้นกำหนัดทางเพศ แต่การวิจัยทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ว่า โสมไม่ได้ทำให้ฮอร์โมนทางเพศเปลี่ยนแปลงเลย การที่โสมช่วยให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น เป็นผลจากคุณสมบัติ ที่ทำให้สุขภาพจิต และสมรรถภาพทางร่างกายดีขึ้น

สารสำคัญในโสม

สารสำคัญ ที่พบในรากเป็นสาร saponin ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม ginsenoside กลุ่ม panaxoside และกลุ่ม chikusetsusaponin แต่ส่วนประกอบที่สำคัญ ของโสมคือ ginsenoside ซึ่งจะมีในโสมประมาณ ร้อยละ 1 -2 โดยน้ำหนัก ขึ้นกับชนิดของโสม แหล่งที่ปลูก รวมทั้งกระบวนการผลิต พบว่าโสมที่ขายในท้องตลาดบางชนิดแทบจะไม่มี ginsenoside เลย ดังนั้นเมื่อหาซื้อโสมมาบำรุงร่างกายจึงควรดูส่วนประกอบของโสม คือ ginsenoside เป็นสำคัญ

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์

ยังไม่มีมาตรฐานความบริสุทธิ์และความเข้มข้นของโสม ทำให้ขาดความน่เชื่อถือ

พอจะมีหลักฐานว่าโสมทำให้มีพลังเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากยังขาดมาตรฐานในการทดลองจึงขาดความน่าเชื่อถือ

ผลข้างเคียงของโสม

ผู้ที่รับประทานโสมมานานและปริมาณมากอาจจะเกิดกลุ่มอาการที่ประกอบไปด้วย ความดันโลหิตสูง นอนไม่หลับ มีผื่นและท้องร่วงที่เรียกว่า ginseng abuse syndrome

โสมแดงอาจจเสริมฤทธิ์กับกาแฟ หรือสารที่กระตุ้น
แม่ที่รับประทานโสมขณะตั้งครรภ์เมื่อคลอดลูกอาจจะมีขนมาก
โสมมีฮอร์โมนซึ่งทำให้เกิดอาการคัดเต้านม

การทดสอบคุณภาพของโสม


ตรวจพบยาฆ่าแมลง hexachlorobenzene ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งหนึ่งตัวอย่างในห้าตัวอย่าง
พบยาฆ่าแมลง quintozene and lindane สองในห้าตัวอย่าง
บางตัวอย่างพบว่ามีปริมาณโสมน้อยกว่าที่ระบุในฉลาก
สรุบพบว่า 10ใน 12 มีคุณภาพตามที่ระบุในฉลาก ไม่พบโลหะหนัก หรือสารเจือปน


อ้างอิง : www.FarmKaset.ORG
ข้าวโพด|ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์|ข้าวโพดหวาน|การปลูกข้าวโพด|Dating|หาแฟน|ปุ๋ย

การปลูกพืชผักในช่วงฤดูหนาว

สวัสดีครับพี่น้องเกษตรกร ทุกท่าน วันนี้ได้เอาความรู้เล็กๆกน้อยๆ เกี่ยวกับการปลูกพืชผักในช่วงฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มกราคม มาฝากนะครับ พืชผักที่ควรเลือกปลูกได้แก่ หอมแบ่ง กุยช่าย กระเทียม ขึ้นฉ่าย กระหล่ำปลี ผักกาดขาวปลีห่อ กะหล่ำปม กะหล่ำดอก มะเขือเทศ นะครับ



ฤดูหนาวปีนี้ ขอแนะนำควรปลูก กะหล่ำดอก ซึ่งผู้ใช้บริโภคส่านของดอกที่อยู่บริเวณปลายยอดของลำต้น มีลักษณะเป็นก้อนสีขาวถึงเหลืองอ่อนอัดตัวกันแน่น อวบและกรอบ นิยมเรียกส่วนดังกล่าวว่า ดอกกะหล่ำ กะหล่ำดอกเป็นผักที่มีรสชาติอร่อยกรอบหวาน ใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง อีกทั้งเป็นผักที่ขายได้ราคาดี ไม่ค่อบเสียระหว่างการขนส่ง เก็บไว้ได้นานกว่าผักอื่น เพราะลำต้นมีความแข็งแรง เนื้อแน่นและไม่อวบน้ำ ในกะหล่ำดอกจะมีสารที่สามารถดึงสารก่อมะเร็งออกจากเซลล์ได้ สำหรับวิธีการปลูก เกษตรกรส่วนใหญ่จะเลือกปลูกพันธ์เบา มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 60-75 วันกะหล่ำดอกเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนเหนียว อินทรีย์วัตถุสูงและมีอากาศเย็น การระบายน้ำและอากาศดี ไม่ทนต่อสภาพดินเป็นกรดจัด ดินที่ปลูกควรมีค่า PH ระหว่าง 6-6.8 และ
ควรได้รับแสงแดดเต็มที่ การปลูกให้เพาะต้นกล้าก่อน เมื่อมีใบจริง 3-4 ใบ และมีต้นสูงประมาณ 10-12 เซนติเมตร จึงย้ายกล้าลงแปลงปลูก ก่อนย้ายต้นกล้าให้รดน้ำบนแปลงเพาะกล้าให้ชุ่ม ควรย้ายกล้าในเวลาเย็นแดดไม่จัด เพื่อไม่ให้ต้นกล้าคายน้ำมากไปทำให้เหี่ยวตายได้ กะหล่ำดอกมีบบรากตื้น การเตรียมดินเพียงขุดดินให้ลึก 15-20 เซนติเมตร ตากดินไว้ 5-7 วัน ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวได้ดีแล้วคลุกเคล้าลงไปในดินย่อยหน้าดินให้มีขนาดเล็ก ระยะปลูกระหว่างต้น 40 เซนติเมตร ระหว่างแถว 60 เซนติเมตร กลบดินกดบริเวณโคนต้นให้แน่น คลุมด้วยฟางแห้งเพือช่วยรักษาความชื้นในดิน รดน้ำให้ชุ่ม อาจใช้ทางมะพร้าวคลุมไว้ 3-5 วัน ให้น้ำวันล่ะ 2 ครั้ง เวลาเช้าแและเย็นอย่าปล่อยให้ขาดน้ำ เพราะจะชะงักการเจริญเติบโตและกระทบกรเทือนต่อการสร้างดอกด้วยนะครับ และเมืออายุประมาณ 30-40 วัน หลังย้ายการปลูก เราควรพรวรดินกลบ เมือดอกกะหล่ำมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-7 เซนติเมตร ควรมีการคลุมดอก โดยรวบใบบริเวณปลายยอดเข้าหากันอย่างหลวมๆ ระวังอย่าให้แน่นเกินไป แล้วใช้ยางรัดของมัดไว้ จะทำให้ดอกกะหล่ำมีสีขาวนวลน่ารับประทาน มีคุณภาพดี หลังจากคลุมดอก 1 สัปดาห์ ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว การเก็บเกี่ยว สังเกตได้จากขนาดของดอกโตเต็มที่และเป็นก้อนแน่น วิธีการเก็บเกียวโดยใช้มีดตัดดอกกะหล่ำให้มี ส่วนของใบบริเวณใกล้ดอกติดมาด้วย 2-3 ใบ เพื่อป้องก้นความเสียหายอันเกิดจากการขนส่งนะครับ



อ่านกันจบแล้วหวังว่าเกษตรกรได้รับความรู้ไม่มากก็น้อยนะครับ หากมีข้อส่งสัย หรือมีข้อมูลดีๆ โปรให้ข้อความเห็นได้ เพื่อพัฒนาพี่น้องเกษตรกรต่อไป ขอบคุณครับ




อ้างอิง : www.FarmKaset.ORG
ข้าวโพด|ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์|ข้าวโพดหวาน|การปลูกข้าวโพด|Dating|หาแฟน|ปุ๋ย